วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2566

กลับมาอีกครั้ง ยิ่งใหญ่กว่าเดิม อิมแพ็ค เตรียมจัดงาน BCT Expo 2023 และ LED Expo Thailand 2023 พร้อมจัดแสดงเทคโนโลยีล่าสุดเพื่อการก่อสร้างและนวัตกรรมไฟฟ้าแสงสว่างอัจฉริยะ



อิมแพ็ค จับมือ ภาครัฐ เอกชน และคู่ค้าทางธุรกิจในอุตสาหกรรม พร้อมเดินหน้าจัด 2 งานใหญ่ Building Construction Technology Expo 2023 (BCT Expo 2023) งานแสดงสินค้าเจรจาธุรกิจอุตสาหกรรมเทคโนโลยี อาคารและการก่อสร้างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ LED Expo Thailand 2023 งานแสดงสินค้านวัตกรรมไฟฟ้าและแสงสว่างอัจฉริยะ ระหว่างวันที่ 20 – 22 กันยายน 2566 ณ ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี BCT Expo 2023 จัดบนพื้นที่แสดงสินค้ากว่า 5,000 ตารางเมตร ณ อาคาร 5 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายใต้ธีม “คุณพร้อมหรือไม่? ที่จะก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลของอุตสาหกรรมการก่อสร้างและอาคาร” ซึ่งมีผู้จัดแสดงสินค้าจากทั้งประเทศไทยและต่างประเทศกว่า 150 บริษัท ภายในงานฯ มีการจัดแสดงเทคโนโลยีดิจิทัล ระบบเครื่องจักร และอุปกรณ์ด้านอุตสาหกรรมอาคารและการก่อสร้างที่ทันสมัย โดยคาดการณ์ว่าจะมีกลุ่มธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าร่วมชมงานกว่า 4,000 คน จากทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมอาคารและการก่อสร้าง

LED Expo Thailand 2023 จัดขึ้นพร้อมกันภายใต้แนวคิด “Connected Lighting for Sustainable Living” บนพื้นที่แสดงสินค้ากว่า 10,000 ตารางเมตร ณ อาคาร 7-8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี รวบรวมผู้แสดงสินค้าจากประเทศไทยและต่างประเทศกว่า 400 บริษัท จัดแสดงเทคโนโลยีด้านไฟฟ้า แสงสว่างที่ทันสมัย นวัตกรรมและโซลูชันชั้นนำจากทั่วโลกมาไว้ภายในงานฯ และคาดว่าจะมีกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมไฟฟ้าและแสงสว่าง ตัวแทนจากภาครัฐ สถาปนิก นักออกแบบ และผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม เข้าร่วมชมงานกว่า 5,000 คน จาก 23 ประเทศ

BCT Expo 2023 และ LED Expo Thailand 2023 ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ สมาคม และหน่วยงานเอกชนในอุตสาหกรรม ซึ่งส่งเสริมให้ทั้งสองงาน เป็นงานแสดงสินค้าที่มีความสำคัญต่อผู้ประกอบการที่จะได้มาพบปะ สร้างเครือข่าย แลกเปลี่ยนและสร้างธุรกิจทั้งในประเทศไทยและในระดับภูมิภาคอาเซียน

BCT Expo 2023 ได้รับการสนับสนุนจากทั้งประเทศไทยและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) สมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย (CEAT) สมาคมแบบจำลองสารสนเทศอาคาร(TBIM) สมาคมวิชาชีพการบริหารทรัพยากรอาคาร (TFMA) สมาคมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าไทย (Gen Thai) 

สมาคมเครื่องจักรกลไทย (TMA) สมาคมผู้ตรวจสอบอาคาร (BSA) สมาคมผู้จัดการอาคารแห่งประเทศไทย (TBMA) สมาคมวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย (EEAT) สมาคมอากาศยานไร้คนขับแห่งประเทศไทย (DAT) Singapore Institute of Building Limited (SIBL) Asia Pacific Assistive Robotics Association (APARA) China Construction Machinery Association (CCMA)

นางสาวพีรยาพัณณ์ พงษ์สนาม ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายโครงการ บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด เผยว่า  “BCT Expo 2023 เป็นงานแสดงสินค้าเพื่ออุตสาหกรรมอาคารและการก่อสร้าง ที่จะส่งเสริมการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในสถาปัตยกรรม อาคาร และการก่อสร้าง งานนี้ยังเน้นการนำเสนอเทคโนโลยีดิจิทัลล่าสุด เครื่องจักรและระบบอุปกรณ์ นวัตกรรมวัสดุสำหรับการสร้างอาคารสีเขียว สุขภาพและความปลอดภัยในไซต์งานก่อสร้าง การจัดการทรัพยากรการก่อสร้าง การบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะ และการบริหารทรัพยากรมนุษย์อีกด้วย”

ผู้เข้าร่วมงาน BCT Expo 2023 จะได้พบกับเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย เครื่องจักร อุปกรณ์ และนวัตกรรมวัสดุสำหรับการสร้างอาคารที่ทันสมัยอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีไฮไลต์และกิจกรรมอื่น ๆ เช่น งานประชุมสัมมนาจากผู้เชี่ยวชาญ โปรแกรมการจับคู่ธุรกิจ เวทีนำเสนอเทคโนโลยีและสาธิตผลิตภัณฑ์ เป็นต้น


นอกจากนี้ยังมีงานประชุมสัมมนาที่น่าสนใจจัดขึ้นในงาน BCT Expo 2023 ได้แก่ การประชุม AIBotics Summit ครั้งแรก จัดขึ้นโดย Asia Pacific Assistive Robotics Association ในหัวข้อ "ระบบทำงานอัตโนมัติและหุ่นยนต์สามารถสนับสนุนอุตสาหกรรมก่อสร้างอัจฉริยะได้อย่างไร?” และการประชุมเรื่อง “การบริหารจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ” ซึ่งจัดขึ้นโดย PCS Security and Facility Services Limited ร่วมกับสมาคมการจัดการสิ่งแวดล้อมประเทศไทย (TFMA) 


มากไปกว่านั้นยังมีสัมมนาจากสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย (CEAT) ภายใต้หัวข้อ “เทคโนโลยี AI ช่วยบริหารจัดการลดความล่าช้าของอุตสาหกรรมก่อสร้าง” และ สัมมนาในหัวข้อ “นวัตกรรมระบบก่อสร้างอาคารสูงด้วยเสาท่อเหล็กรองรับพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กอัดแรง” และ “Future Building and Construction with Light Gauge Steel Modular System” โดย สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย (ISIT)
ในส่วนของงาน LED Expo Thailand 2023 ที่ถือได้ว่าเป็นงานที่มีความยิ่งใหญ่ระดับนานาชาติ ภายใต้การสนับสนุนจาก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. (EGAT) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีไฟฟ้าและส่องสว่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สมาคมอุตสาหกรรมไฟฟ้าแห่งประเทศไทย สมาคมไทยไอโอที สมาคมไฟฟ้าแสงสว่างแห่งประเทศไทย สมาคมอุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคมไทย สมาคมช่างเหมาไฟฟ้าและเครื่องกลไทย รวมไปถึงหน่วยงานอื่น ๆ อีกมากมาย


Ms. Himani Gulati, Director, MEX Exhibitions Pvt. Ltd. ผู้จัดงาน กล่าวว่า “LED Expo Thailand เป็นงานที่จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไฟ LED ให้ได้มีการพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการสมัยใหม่ ที่เน้นความยั่งยืนเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและไฟฟ้าอัจฉริยะ”
งาน LED Expo Thailand 2023 ในปีนี้พร้อมนำเสนอเทคโนโลยี นวัตกรรมไฟฟ้าและแสงสว่างใหม่ล่าสุด ไม่ว่าจะเป็นแสงสว่างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แสงสว่างที่ช่วยประหยัดพลังงาน แสงสว่างสำหรับด้านสุขภาพและการดูแลสังคม แสงสว่างสำหรับสิ่งปลูกสร้าง แสงสว่างสำหรับมนุษย์ แสงสว่างอัจฉริยะและแสงสว่างที่ยั่งยืน 


ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยส่งเสริมการทำธุรกิจ สร้างความร่วมมือระหว่างผู้แสดงสินค้าและผู้ชมงาน งาน LED Expo Thailand 2023 เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้เข้าร่วมการเจรจาทางธุรกิจกับคู่ค้าในอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อผู้เข้าร่วมงานและผู้แสดงสินค้าผ่านการนัดหมายเจรจาธุรกิจล่วงหน้า


ภายในงานฯ ยังมีกิจกรรมการประกวด Innovative LED Lighting Project Pitching Contest จัดขึ้นเพื่อสนับสนุน
ให้นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศไทย ได้แสดงความสามารถและชิงทุนการศึกษา พร้อมกันนี้ยังมี EGAT Pavilion ที่จัดขึ้นโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) เพื่อนำเสนอนวัตกรรมใหม่ทางการไฟฟ้า พร้อมทั้งยังมีการจัดสัมมนาในหลากหลายหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมแสงสว่างอัจฉริยะ เพื่อเพิ่มโอกาสในการอัปเดตข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโครงการแสงสว่างและแผนที่เมืองอัจฉริยะของประเทศไทยจากภาครัฐและเอกชน 


LED Expo Thailand 2023 ถือเป็นการสร้างความร่วมมือระดับนานาชาติในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและแสงสว่างอัจฉริยะ รวบรวมแนวความคิด นวัตกรรม และพันธมิตรในอุตสาหกรรมเข้าไว้ด้วยกัน และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญของงานนี้คือเป็นโอกาสให้ทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรม ได้สร้างเครือข่ายในการพัฒนาอุตสาหกรรมแสงสว่างอัจฉริยะของประเทศไทยและ
นานาประเทศในอนาคตต่อไป
ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานได้ระหว่างวันที่ 20 – 22 กันยายน 2566 นี้ ณ ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี 



วันอังคารที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ส.อ.ท. ผนึกเครือข่าย จัดใหญ่งานสิ่งแวดล้อมและการจัดการของเสีย มุ่งโชว์นวัตกรรม-จับคู่ธุรกิจ-เผยแพร่กฎหมายใหม่




สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ผนึกเครือข่ายจัดใหญ่งานมหกรรมสิ่งแวดล้อมและการจัดการ
ของเสีย ร่วมขับเคลื่อนสู่โลกที่ดีกว่า โดยมุ่งเป้า 3 ประเด็นหลัก โชว์นวัตกรรมรีไซเคิล จัดสัมมนาเจรจาจับคู่ธุรกิจ
และเผยแพร่องค์ความรู้กฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ คาดมีผู้สนใจเข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่าหมื่นคนต่อวัน

อังคาร 29 สิงหาคม 2566 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดงานแถลงข่าวการจัดงานแสดงสินค้าบริการและสัมมนาด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการของเสียหรือ EnwastExpo 2023 (Environmental & Waste Management Expo 2023) ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 ตุลาคม 2566 ณ อาคาร 6 อิมแพค เมืองทองธานีนี้ ภายใต้ธีม”ร่วมขับเคลื่อนสู่โลกที่ดีกว่า” โดยได้รับเกียรติจากนายเกรียงไกร เธียรนุกุล 
ประธาน ส.อ.ท. และนายธีระพล ติรวศิน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมการจัดการเพื่อสิ่งแวดล้อม ส.อ.ท. ร่วมแถลง
ข่าวการจัดงาน EnwastExpo 2023 ณ ลานไทยเบฟ ชั้น 10 ส.อ.ท.

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงาน
แสดงสินค้าบริการและสัมมนาด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการของเสียหรือ EnwastExpo 2023 (Environmental & Waste Management Expo 2023) ว่าเป็นผลมาจากสถานการณ์สิ่งแวดล้อมโลกที่เปลี่ยนไป ส่วนหนึ่งเกิดจากการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก ทำให้ต้องหาวิธีผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคให้เพียงพอ ซึ่งทำให้เกิดขยะและกากของเสียที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี จากรายงานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) พบว่าในปี 2560 ประเทศไทยมีปริมาณขยะประมาณ 27 ล้านตันหรือประมาณ 74,998 ตัน/วัน ซึ่งหมายความว่าแต่ละคนสร้างขยะปริมาณ 1.13 กิโลกรัม/วัน และมีกากอุตสาหกรรมเกิดขึ้น 33 ตัน/ปีทั้งที่เป็นอันตรายและไม่อันตราย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการจัดการอย่างถูกวิธีและสอดคล้องตามแนวทาง BCG เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมนี้

“นับเป็นโอกาสที่ดีที่เรายังมีอุตสาหกรรมที่เข้ามาช่วยสนับสนุนและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องในช่วง
หลายปีที่ผ่านมา และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ก็มีนโยบายเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการดำเนินงานของกลุ่มอุตสาหกรรมการจัดการเพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นกลุ่มสนับสนุนความยั่งยืนของอุตสาหกรรมไทยในภาพรวม และเราพร้อมเดินหน้านำนวัตกรรม เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในการกำจัดขยะ ของเสียเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” นายเกรียงไกร กล่าว

นอกจากนี้ นายเกรียงไกร ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า “การร่วมขับเคลื่อนสู่โลกที่ดีกว่า” ซึ่งเป็นธีมในการจัดงานครั้งนี้ว่า
มีองค์ประกอบด้วยกัน 3 ส่วน ได้แก่ 1.ต้นทาง ผู้กำเนิดมลพิษและขยะ 2.ปลายทาง ผู้ที่จะช่วยลด บำบัด กำจัด
มลพิษและขยะ โดยนำเครื่องมือเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าการลงทุนและ
การคืนกำไรสู่สังคม และ 3. ระหว่างทาง ซึ่งจะต้องอาศัยนโยบายของภาครัฐในการเข้ามากำกับดูแลเพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างถูกวิธีอันนำไปสู่การสร้างสิ่งแวดล้อมที่สมดุลและยั่งยืน ด้านนายธีระพล ติรวศิน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมการจัดการเพื่อสิ่งแวดล้อม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานการจัดงานกล่าวว่า กลุ่มอุตสาหกรรมการจัดการเพื่อสิ่งแวดล้อม ส.อ.ท. ร่วมกับสมาคมการจัดการของเสียอย่างยั่งยืน ภายใต้การสนับสนุนในฐานะเจ้าภาพร่วมจากหน่วยงานที่กำกับดูแลสิ่งแวดล้อม อาทิกรมโรงงานอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรมควบคุมมลพิษ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รวมไปถึงภาคเอกชนทั้ง SCG, AMATA Facility และสมาคมวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย ในการจัดงานมหกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการของเสีย หรือ EnwastExpo 2023 (Environmental & Waste Management Expo 2023) ภายใต้ธีม”ร่วมขับเคลื่อนสู่โลกที่ดีกว่า” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในการจัดงานใหญ่ด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการของเสียในประเทศไทย ทั้งนี้เพื่อฉลองครบรอบ 20 ปีของกลุ่มอุตสาหกรรมการจัดการเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยไม่ได้คำนึงถึงผลกำไร และพร้อมผลักดันการ
นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในการจัดการมลพิษและของเสียที่เกิดจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาคอุตสาหกรรม ชุมชน สังคม ตลอดจนภาคครัวเรือน ซึ่งงานด้านสิ่งแวดล้อมในลักษณะนี้ในต่างประเทศประสบความสำเร็จและมี
การจัดงานอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด

นายธีระพลกล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานครั้งนี้จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนแรกการจัดการแสดงเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ ๆ ด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการของเสีย พร้อมโชว์เทคโนโลยีนวัตกรรมรีไซเคิลต้นแบบ ส่วนที่สองการจัดสัมมนาด้านสิ่งแวดล้อมและจับคู่ธุรกิจ เพื่อให้ผู้ผลิตและจำหน่ายเทคโนโลยี ผู้ก่อกำเนิดกากของเสียการจัดการมลพิษจากต้นทางและผู้รับบำบัด กำจัดและรีไซเคิลกากของเสียและมลพิษประเภทต่าง ๆ มาพบปะกันเพื่อต่อยอดทางธุรกิจ

“การจัดงานครั้งนี้เป็นการสนับสนุนให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการของเสียอย่าง
เต็มรูปแบบและครบวงจร มีการเจรจาจับคู่ธุรกิจ มีการสัมมนานำเสนอองค์ความรู้ใหม่ ให้ทันกับสถานการณ์ด้าน
สิ่งแวดล้อมโลกที่เปลี่ยนไป ตลอดจนการนำเสนอเทคโนโลยีการสื่อสารและกฎหมายใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย สิ่งเหล่านี้เราจะขนมาไว้ในงานนี้เพื่อเป็นแหล่งรวมให้กับผู้สนใจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจด้านนี้” นายธีระพล กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เยี่ยมชมงาน นอกจากจะเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่ให้การสนับสนุนทั้งภาครัฐและเอกชน
แล้ว ยังมีผู้บริหารโรงงานขนาดกลาง-ใหญ่กว่า 40,000 โรงงาน เจ้าหน้าที่และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ นักวิชาการ นักศึกษาและประชาชนที่สนใจทั่วไป โดยคาดว่าจะมีผู้เยี่ยมชมงานไม่ต่ำกว่า 10,000 คน มีการเจรจาจับคู่ธุรกิจมากกว่า 300 คู่ สัมมนาและเวิร์คช้อปมากกว่า 20 หัวข้อ และมีบริษัทด้าน
สิ่งแวดล้อมเข้าร่วมจัดแสดงสินค้านวัตกรรมมากกว่า 100 บริษัทการจัดงานแสดงสินค้าและสัมมนาด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการของเสียหรือ EnwastExpo 2023 
(Environmental & Waste Management Expo 2023) จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 4-6 ตุลาคม 2566 นี้ ณ อาคาร 6 อิมแพค เมืองทองธานี ภายใต้ธีม”ร่วมขับเคลื่อนสู่โลกที่ดีกว่า” 


สนใจสอบถามรายละเอียดการจัดงานได้ที่กลุ่ม
อุตสาหกรรมการจัดการเพื่อสิ่งแวดล้อม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) โทร.02 345 1000 หรือ 
www.enwastexpo.com
……………………………



ว่าที่​รต.พะลาท คำ​หอม​ รายงาน

วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2566

“พาร์เล่” แบรนด์อันดับ 1 ในกลุ่มบิสกิต และอันดับ 2 ในกลุ่มขนมจากอินเดีย บุกตลาดเมืองไทยเปิดตัวพาร์เล่ ไฮด์ แอนด์ ซีค และ ทเวนตี้-ทเวนตี้บิสกิตคุ้กกี้ มาพร้อมรสชาติเหนือระดับที่ติดใจคนมาแล้วทั่วโลก


พาร์เล่ แบรนด์ขนมระดับโลกสัญชาติอินเดีย ส่งมอบความอร่อยให้คนทั่วโลกมาแล้วกว่า 9 ทศวรรษด้วยฐานการผลิตที่มากถึง 10 ประเทศสามารถส่งมอบสินค้าได้อย่างครอบคลุมทั่วทุกมุมโลก โดยตั้งแต่ปี 2022 พาร์เล่ประกาศลุยตลาดประเทศไทย เปิดตัวพาร์เล่ ไฮด์ แอนด์ ซีค และ ทเวนตี้-ทเวนตี้ บิสกิตคุ้กกี้ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เรือธงของพาร์เล่ ด้วยวัตถุดิบคุณภาพ คู่กับความหอมหวาน และรสสัมผัสที่มีระดับในราคาที่จับต้องได้ ทำให้พาร์เล่มั่นใจจะสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์บิสกิต และติดอันดับ 1 ใน 5 ของ
บิสกิตที่อยู่ในใจผู้บริโภคชาวไทยได้ ภายใน 3 ปี 
คุณอารุป ชัวฮาน Executive Director, Parle Products กล่าวว่า “พาร์เล่มีต้นกำเนิดที่ประเทศอินเดีย เมื่อปี 1929 ด้วยคนงานเพียง 12 คน จากความต้องการให้คนอินเดียเข้าถึงอาหารได้อย่างเท่าเทียม ปัจจุบันผ่านไปแล้ว 94 ปี พาร์เล่ครองอันดับ 1 แบรนด์ที่ผู้บริโภคชื่นชอบมากที่สุดในอินเดียเป็นเวลา 10 ปีติดต่อกัน และส่งออกไปแล้วกว่า 120 ประเทศทั่วโลก มียอดขายกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทอาหารที่ใหญ่ที่สุดในโลก วันนี้เป็นโอกาสดีที่จะแนะนำพาร์เล่ให้แก่คนไทยทุกคนได้รู้จัก”
ในช่วงแรกพาร์เล่เข้าสู่ประเทศไทยด้วยช่องทางธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) โดยจับมือกับคุณทศพร ปวเรศวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไทย-สตาร์ ฟู้ดส์ แอนด์ เบฟเวอร์เรจ จำกัด ต่อมาพาร์เล่มุ่งเป้าไปที่กลุ่มธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional Trade) จับมือกับกลุ่มอำพลฟูดส์ บริษัทตัวแทนจำหน่ายสินค้าระดับแนวหน้าของประเทศไทย ที่พร้อมกระจายสินค้าและส่งมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า เข้าถึงพื้นที่ด้วยรถแคชแวนกว่า 500 คัน ประจำศูนย์กระจายสินค้ากว่า 80 ศูนย์ หนึ่งในบริษัทที่คลอบคลุมพื้นที่การขายมากที่สุดกว่าร้อยละ 75 ของประเทศไทย มั่นใจได้ว่าผู้บริโภคชาวไทยจะเข้าถึงสินค้าของพาร์เล่ได้มากขึ้น
ดร.กฤษฎา โสภา ผู้อำนวยการส่วนงานการตลาดและสารสนเทศ กลุ่มอำพลฟูดส์ กล่าวว่า 
“อำพลฟูดส์มีความแข็งแกร่งในการกระจายสินค้า ด้วยจำนวนร้านค้าในระบบกว่า 300,000 ราย แคชแวน และศูนย์กระจายสินค้าที่ครอบคลุม มั่นใจว่าจะสามารถทำให้พาร์เล่เข้าถึงผู้บริโภคทั่วประเทศได้มากยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้อำพลฟูดส์ยังมีประสบการณ์การทำตลาดในประเทศที่จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีระหว่างพาร์เล่ และผู้บริโภคชาวไทย เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะเสริมให้พาร์เล่ประสบความสำเร็จในตลาดเมืองไทย”
พาร์เล่ บุกตลาดประเทศไทย ภายใต้แคมเปญ “Love at First Bite คำแรกก็หลงรัก” ชวนให้ทุกคนลิ้มลองรสชาติอีกระดับกับพาร์เล่ จนหลงรักในคำแรก วางกลยุทธ์การสื่อสารบนสื่อดั้งเดิม (Traditional Media) ด้วยภาพยนตร์โฆษณา ชื่อชุดว่า “Love at First Bite คำแรกก็หลงรัก” 
นอกจากนี้ พาร์เล่ มุ่งสื่อสารผ่านโลกออนไลน์เปิดตัว 2 แคมเปญออนไลน์ สร้างการรับรู้และประสบการณ์ร่วมกับพาร์เล่ (Parle Moment) ได้แก่ แคมเปญของผลิตภัณฑ์พาร์เล่ ไฮด์ แอนด์ ซีค “LET’S BREAK THE ICE” ที่ชวนเปิดรับสิ่งใหม่ ก้าวข้ามข้อจำกัดไปกับพาร์เล่ และแคมเปญของผลิตภัณฑ์พาร์เล่ ทเวนตี้-ทเวนตี้
พบกับผลิตภัณฑ์พาร์เล่ได้ที่ร้านค้าชั้นนำ ร้านค้าท้องถิ่นได้แล้ววันนี้ทั่วประเทศไทย หรือสั่งซื้อออนไลน์ ได้ที่ www.goodlifeforyou.com หรือ Facebook Goodlifeforyou และ Line @goodlifeforyou ส่งฟรีทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-078-1111



วันพุธที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2566

Agri-Food Tech Expo Asia ครั้งที่ 2 กลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ในเดือนตุลาคมนี้


Agri-Food Tech Expo Asia ครั้งที่ 2 กลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ในเดือนตุลาคมนี้
ที่จาการ์ตาและกรุงเทพฯ พร้อมเดินหน้าในอุตสาหกรรมระดับเอเชีย
วันนี้ 23 สิงหาคม 2566 กลับมาอีกครั้งกับงาน Agri-Food Tech Expo Asia หรือ AFTEA 2023 งานจัดแสดงสินค้าด้านเทคโนโลยีการเกษตรและอาหารแห่งภูมิภาคเอเชีย โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม ถึง 2 พฤศจิกายนนี้ ที่ Sands Expo & Convention Centre ประเทศสิงคโปร์
ภายในปี พ.ศ. 2573 มีการคาดการณ์ว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีแนวโน้มในการบริโภคคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60 เมื่อเปรียบเทียบกับสัดส่วนการบริโภคทั่วโลก อีกทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังเป็นแหล่งผลิตอาหารขนาดใหญ่และมีเกษตรกรรายย่อยอาศัยอยู่ราว 450 ล้านคน ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการผลิตอาหาร                                   ในภูมิภาคถึงร้อยละ 801 ในสภาวะเช่นนี้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจำเป็นต้องเพิ่มกิจกรรมเพื่อช่วยผลักดันการสร้างรายได้ของเทคโนโลยีการเกษตรและอาหารในระดับนานาชาติ และเพิ่มการพัฒนาอุตสาหกรรม เพื่อการันตีความยั่งยืนของภูมิภาคในอนาคต  ทั้งนี้ AFTEA มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นแรงบันดาลใจและช่วยสนับสนุนให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระดับท้องถิ่น มีข้อมูลที่ครบถ้วนในการตัดสินใจ รวมทั้งช่วยผลักดันสร้างความร่วมมือ โอกาส และวิธีแก้ปัญหาร่วมกันในภูมิภาค
เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา Constellar ได้จัดงานด้านเทคโนโลยีการเกษตรและอาหารร่วมกับสมาคมการเกษตรเยอรมัน (German Agricultural Society หรือ DLG) ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 6,000 คน จากกว่า 66 ประเทศ และผู้แสดงสินค้า 163 รายจาก 24 ประเทศ พร้อมกับพาวิลเลี่ยนระดับนานาชาติ จาก 9 ประเทศ ได้แก่ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อินโดนีเซีย อิสราเอล เกาหลีใต้ สิงคโปร์ เนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร 
นอกจากนี้ ยังมีการจับคู่ประชุมทางธุรกิจกว่า 500 ราย และมีแซนด์บ็อกซ์เซสชั่น (Sandbox session) ซึ่งเป็นเวทีนำเสนอนวัตกรรมใหม่ล่าสุด 55 หัวข้อ ในช่วงงานดังกล่าวอีกด้วย
งานจัดแสดงสินค้าด้านเทคโนโลยีการเกษตรและอาหารแห่งภูมิภาคเอเชีย หรือ AFTEA 2023 นั้น มีจุดมุ่งหมายในการสร้างแรงผลักดันด้วยแนวคิด 'การปรับปรุงระบบนิเวศของอาหารเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน'                 โดยเจาะลึกใน 3 ประเด็นที่สำคัญ อันได้แก่ นวัตกรรม ความยั่งยืน และความปลอดภัย เพื่อสำรวจวิธีการ และเทคโนโลยี ที่จะปรับปรุงการผลิตอาหารในทุกขั้นตอนและแง่มุม รวมทั้งยกระดับห่วงโซ่อุปทานการผลิต สำหรับคนรุ่นใหม่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต่อไป
โรดโชว์ระดับภูมิภาค ณ กรุงจาการ์ตาและกรุงเทพมหานคร ในการเตรียมความพร้อมก่อนการจัดงาน AFTEA 2023 ในเดือนตุลาคมนี้ ผู้จัดงานได้มีการจัดโรดโชว์                    ระดับภูมิภาคในกรุงจาการ์ตา (ประเทศอินโดนีเซีย) และกรุงเทพมหานคร (ประเทศไทย) โดยเป็นการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ล่าสุด ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการเกษตรและอาหาร แก่สื่อมวลชนและผู้สนใจ                               ก่อนการจัดงานใหญ่ที่ประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้โรดโชว์ดังกล่าวยังเพิ่มโอกาสสำหรับกลุ่มธุรกิจ และผู้เชี่ยวชาญในตลาด ตลอดจนผู้นำอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการเกษตรและอาหาร รัฐบาล และชุมชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกจากประสบการณ์ตรงและสร้างเครือข่ายเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรและอาหารร่วมกันในประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้ ประเทศไทยและอินโดนีเซียได้รับเลือกให้เป็นประเทศเจ้าภาพของโรดโชว์ที่กำลังมีขึ้น เนื่องจากเป็นหนึ่งในสามประเทศชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ภาคเทคโนโลยีการเกษตรและอาหารมีส่วนร่วมสูงสุดต่อ GDP และการจ้างงาน2  โดยภาคเทคโนโลยีการเกษตรและอาหารของอินโดนีเซียนั้นครองตำแหน่งอันดับหนึ่งเป็นผู้นำในปัจจุบันทั้งยังมีบทบาทที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจด้านการเกษตรและอาหารของโลกในอนาคตอีกด้วย3  ขณะที่ประเทศไทยก็ได้เร่งแผนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลทั่วประเทศสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตรในท้องถิ่นในปีที่ผ่านมา ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) การเกษตรอัจฉริยะ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce) และการปรับปรุงธุรกิจการเกษตร4 
จาการ์ตา (อินโดนีเซีย): 2 สิงหาคม (10.00 น. – 14.00 น. ตามเวลา Western Indonesian Time) ที่โรงแรม JS Luwansa, Rasuna Said Kuningan South Jakarta
วิทยากรประกอบด้วย Adhi S. Lukman ประธาน GAPMMI, Insan Syafaat ผู้อำนวยการบริหาร​ PISAgro, โฆษกจากกระทรวงเกษตร และโฆษกจากกระทรวงการวางแผนพัฒนาแห่งชาติ (BAPPENAS)
กรุงเทพฯ (ประเทศไทย): 23 สิงหาคม (14.00 – 16.00 น. ตามเวลาประเทศไทย) ที่ Grand Center Point, Terminal 21
วิทยากรประกอบด้วย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, ดร.ดาเรศร์ กิตติโยภาส นายกสมาคมสมาคมวิศวกรรมเกษตรแห่งประเทศไทย และโฆษกสำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร
ไฮไลท์ของงาน AFTEA 2023​ในปีนี้ มีทั้งการแสดงผลงาน Living Lab เวทีนำเสนอนวัตกรรมในรูปแบบแซนด์บ็อกซ์ และโอกาสในการจับคู่ธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวของ Culinary Lab และ Founders’ Hub ซึ่งเป็น การสาธิตผลิตภัณฑ์ ที่เน้นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างนักธุรกิจในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการเกษตรและอาหาร โดยผู้ที่สนใจสามารถติดตามละเอียดเพิ่มเติมได้ในเร็ว ๆ นี้
AFTEA เป็นงานสำคัญที่เป็นส่วนหนึ่งของ Singapore International Agri-Food Week (SIAW) จัดโดย Temasek และ Singapore Food Agency (SFA) โดยได้รับการสนับสนุนจาก Economic Development Board (EDB), Enterprise Singapore (ESG) และ Singapore Tourism Board (STB)
สมาคมการค้าที่ให้การสนับสนุน AFTEA 2023 ได้แก่ Singapore Manufacturing Federation (SMF), French Chamber of Commerce in Singapore (FCCS), Singaporean-German Chamber of Industry and Commerce (SGC), APAC Society for Cellular Agriculture (APAC-SCA), สภาธุรกิจแคนาดา-อาเซียน, The Indonesian Food & Beverage (GAPMMI), Partnership for Indonesia's Sustainable Agriculture (PISAgro), และ Japan Association for Cellular Agriculture (JACA)

ผู้สนใจสามารถเรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Agri-Food Tech Expo Asia ได้ที่ agrifoodtechexpo.com



วันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2566

นิสิตพัฒนาสังคม มจร.วัดไร่ขิง วิจัย_นวัตกรรมอยู่ร่วมกันของชุมชนกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติ

พระจักรา ฐานวโร วัดแก่งระเบิด นิสิตปริญญาเอก สาขาวิชาการพัฒนาสังคม วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หรือ มจร.วัดไร่ขิง กล่าวว่า ได้ทำวิจัย เรื่อง นวัตกรรมการอยู่ร่วมกันของชุมชนกับพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์พืช ในอ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี โดยมี ศ.ดร.พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ รองผอ.วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี เป็นที่ปรึษาโครงการ
 ทั้งนี้โครงการวิจัยดังกล่าวมุ่งพัฒนานวัตกรรมทางสังคมที่จะให้อุทยานแห่งชาติ ภาครัฐ ชาวบ้าน และป่า ได้ประโยชน์ร่วมกัน ชาวบ้านสามารถหาผลผลิตจากป่าในพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าเเละพันธุ์พืช ในอ.ไทรโยค ได้อย่างถูกต้อง ไม่ขัดระเบียบอุทยานแห่งชาติและภาครัฐ  รวมถึงป่าไม้ได้รับการดูแลจากชาวบ้านด้วย 
พระจักรา กล่าวต่อไปว่า สืบเนื่องจากการทำโครงการวิจัยดังกล่าว จึงได้มีการจัดประชุมพหุภาคีเพื่อหาข้อตกลงในการใช้ประโยชน์ร่วมกันบนพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติ ระหว่างอุทยานฯไทรโยคใหญ่ ฝ่ายปกครอง สภ.ไทรโยค และผู้นำชุมชนในเขตอ.ไทรโยค โดยมีผู้นำชุมชนจากทุกหมู่บ้านรอบเขตอุทยานจำนวน 252 คน
 นาย................................ นายอำเภอ ...................................หัวหน้าอุทยา ................................. ผุ้กำกับการ สภอ.ไทรโยค ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่วมกันให้ทำข้อตกลงสร้างนวัตกรรมภายในอำเภอและเจ้าหน้าที่   อุทยานแห่งชาติฯ ไทรโยค ให้ชาวบ้านสามารถเข้าไปหาผลผลิตจากป่าได้ถูกต้องตามกฎหมายได้ในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ส่วนวันเสาร์ - อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ให้ชาวบ้านหยุดหาผลิตผลจากป่า จากเดิมที่ก่อนหน้านี้
เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ได้มีการห้ามหาหน่อไม้ในเขตอุทยาน เลยทำให้ชาวบ้านไม่สามารถเข้าไปหาหน่อไม้ เห็ดโคน ภายในพื้นที่อุทยานฯได้
 อย่างไรก็ตาม ได้อนุญาตให้ชาวบ้านหาผลผลิตจากป่าได้ในวันจันทร์ถึงวันศุกร์และให้หยุดหาของป่าในวันเสาร์และวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่อุทยานกำลังออกบัตรหาผลผลิตจากป่าให้กับชาวบ้านอีกด้วย
  นับเป็นนวัตกรรมวิจัยที่สามารถลดข้อพิพาทที่เกิดขึ้น และสร้างประโยชน์ให้เกิดแก่ทุกฝ่ายโดยผสานกลไกที่ผ่านกระบวนการที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนระหว่างคนกับป่า

วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2566

สภาอุตฯผนึกภาคีเครือข่าย”ร่วมขับเคลื่อนสู่โลกที่ดีกว่า”จัดใหญ่มหกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการของเสีย ระหว่างวันที่ 4-6 ตค 2566 ณ อาคาร 6 อิมแพค เมืองทองธานี


กลุ่มอุตสาหกรรมการจัดการเพื่อสิ่งแวดล้อม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผนึกสมาคมการจัดการของเสียอย่างยั่งยืน ภายใต้การสนับสนุนจากหน่วยงานที่กำกับดูแลสิ่งแวดล้อม อาทิเช่น กรมโรงงานอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรมควบคุมมลพิษ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รวมไปถึงภาคเอกชนทั้ง SCG, AMATA Facility และ สมาคมวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย ฯลฯ จัดงานใหญ่มหกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการของเสีย ภายใต้ธีม”ร่วมขับเคลื่อนสู่โลกที่ดีกว่า” พร้อมร่วมมือและสนับสนุน นโยบายกรมโรงงานฯ 4 มิติเพื่อผลักดันสู่ความสมดุลและยั่งยืนในภาคอุตสาหกรรม
ดร.จุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวถึงการมุ่งเน้นการทำงานโดยใช้หัวและใจใน 4 มิติ ภายใต้นโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมให้อยู่คู่ชุมชนได้อย่างสมดุลและยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วย 
มิติที่ 1 ความสำเร็จทางธุรกิจเน้นการใช้นวัตกรรมที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรม 
มิติที่2 การดูแลสังคมและชุมชนรอบโรงงาน โรงงานกับชุมชนจะต้องอยู่ร่วมกันได้และจะต้องได้รับการยอมรับจากชุมชน 
มิติที่3 การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์ประเทศไทยและประชาคมโลก โดยเฉพาะของเสียจากโรงงานจะต้องได้รับการจัดการตามมาตรฐานที่กำหนด
มิติที่4 การคืนกำไรสู่สังคมและชุมชนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 
ในการนี้ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้เชิญชวนผู้ประกอบการโรงงานทุกท่านมาร่วมกันจับมือพัฒนาอุตสาหกรรมประเทศไปสู่ความสมดุลและอย่างยั่งยืน ใน 4 มิติดังกล่าว รวมทั้งประเทศไทยได้ประกาศนโยบาย Carbon Neutral ในปี 2050 และ Net Zero ในปี 2065 อีกทั้ง ยังมี แรงกดดันจากประชาคมโลกในเรื่องการลดการปลดปล่อยคาร์บอน ในรูปแบบกำแพงภาษีต่างๆ ทำให้ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมผลักดันตามนโยบายดังกล่าว ดังนั้น กรมโรงงานอุตสาหกรรมจึงยินดีสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมของภาคเอกชน ที่เกิดประโยชน์กับประเทศ ซึ่งการจัดงาน EnwastExpo 2023 ของสภาอุตสาหกรรมในครั้งนี้ ก็สนับสนุนและสอดคล้องตามนโยบายของกรมโรงงานอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ในปี 2566 นี้ กรมโรงงานมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้บริหารจัดการอย่างเป็นระบบและเป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งรวมถึง กฎหมายการจัดการกากอุตสาหกรรม ที่จะมีผลบังคับใช้ประมาณปลายปีนี้
“เราได้ปฏิรูปกฎหมายกการจัดการกากอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบ ซึ่งรวมถึง ผู้ก่อกำเนิดกากอุตสาหกรรมจะต้องรับผิดชอบกากอุตสาหกรรมไปจนกว่าจะได้รับการจัดการตามที่แจ้งไว้แล้วเสร็จเรียบร้อย รวมทั้งในปี 2566 นี้ กรมโรงงานได้พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อความสะดวกในการให้บริการอย่างครบวงจร ตามนโยบาย I-industry ของกระทรวงอุตสาหกรรม” อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมเผย    
 
นายธีระพล ติรวศิน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมการจัดการเพื่อสิ่งแวดล้อม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกล่าวถึงการจัดงานแสดงสินค้าและสัมมนาด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการของเสียหรือ EnwastExpo 2023 (Environmental & Waste Management Expo 2023) ในระหว่างวันที่ 4-6 ตุลาคม 2566 ว่าเพื่อเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมการจัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่สนับสนุนให้อุตสาหกรรมอื่นๆและกิจกรรมต่างๆของประเทศ พัฒนาได้อย่างสมดุลและยั่งยืน และยังเป็นการจัดงานใหญ่เพื่อฉลองครบรอบ 20 ปีของกลุ่มอุตสาหกรรมการจัดการเพื่อสิ่งแวดล้อม สภาอุตสาหกรรมฯ 

“ปัญหาสิ่งแวดล้อมจริง ๆแล้ว ไมใช่เป็นปัญหาชองประเทศไทยเท่านั้นแต่เป็นปัญหาระดับโลก ถือเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยจัดงานใหญ่ในลักษณะนี้ ทั้งที่จริงแล้ว งานสิ่งแวดล้อมในต่างประเทศเป็นที่นิยมกันมากโดยมีการจัดงานใหญ่ต่อเนื่องมาตลอดหลายปีทีผ่านมา ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ บริษัทต่างๆในประเทศไทย ก็เดินทางไปดูงานประเภทนี้ในต่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง” นายธีระพล เผย

ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมการจัดการเพื่อสิ่งแวดล้อม สภาอุตสาหกรรมฯยอมรับว่า ประเทศไทยเราเองก็มีปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะปัญหาผลกระทบความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ (climate change) ที่ได้รับผลกระทบมากเป็นอันดับที่ 9 ของโลกโดยในอีก 3 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มจะเกิดภัยแล้งอย่างรุนแรงจากปรากฎการณ์เอลนีโญ นอกจากนี้ ยังไม่นับรวมสิ่งที่เกิดขึ้นจากการดำรงค์ชีวิตตามปกติของมนุษย์ที่ทำให้เกิดมลพิษ ในอีกหลายด้าน

“การจัดงานครั้งนี้เป็นการสนับสนุนเพื่อให้เกิดการนำเสนอและถ่ายทอดเทคโนโลยี การบรรยายเกี่ยวกับกฎหมายใหม่ ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในประเทศไทย ก็ได้นำมานำเสนอในงานนี้ รวมไปถึงการสัมมนาวิชาการเรื่องการใช้ประโยชน์ของเสียให้คุ้มค่าตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อให้เป็นแหล่งรวมให้ผู้สนใจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้จะได้ดูงานและจับคู่ธุรกิจต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ” 

นายธีระพล ยังกล่าวถึงที่มาธีมจัดงานครั้งนี้ ภายใต้หัวข้อ “ร่วมขับเคลื่อนสู่โลกที่ดีกว่า” ว่า มาจากองค์ประกอบ 3 ภาคส่วนสำคัญ ซึ่งได้แก่ ภาคส่วนที่ 1 ผู้ก่อกำเนิดมลพิษ ถือเป็นต้นทาง ภาคส่วนที่ 2 ผู้ที่จะช่วย บำบัด กำจัดหรือบริหารจัดการของเสียหรือมลพิษ และ ภาคส่วนที่ 3 ภาครัฐที่ทำหน้าที่กำกับดูแล ซึ่งทั้ง 3 ภาคส่วนจะต้องใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม การลงทุนที่คุ้มค่า และบุคคลากรที่มีคุณภาพและเข้าใจปัญหาสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การจัดการปัญหาเหล่านี้ สามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืน
“ปัญหาสิ่งแวดล้อมมีวิวัฒนาการตลอดเวลา เราไม่สามารถหยุดอยู่กับที่ได้ ทั้ง 3 ภาคส่วนจะต้องช่วยกันขับเคลื่อนเพื่อไปสู่โลกที่ดีกว่าซึ่งรวมถึงสังคมคาร์บอนต่ำที่จะช่วยชลอภาวะโลกรวน”ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมการจัดการเพื่อสิ่งแวดล้อม สภาอุตสาหกรรมฯกล่าวย้ำ  



ขณะที่ นายพิษณุ จารุพัฒนะสิริกุล นายกสมาคมการจัดการของเสียอย่างยั่งยืน อีกหน่วยงานพันธมิตรที่ร่วมจัดงานครั้งนี้ระบุว่า นอกจากโรงงานอุตสาหกรรมแล้วยังมี ภาคครัวเรือนและประชาชน รวมถึงผู้ประกอบการค้าขายต่างๆ ที่เป็นผู้ก่อกำเนิดมลพิษและของเสีย จะต้องช่วยกันดูแล และจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วแล้วการจัดการของเสียจะวิ่งเข้าสู่ระบบของโรงงานอุตสาหกรรมในปลายทาง แต่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันจึงจะสำเร็จได้จริง    
  
อนึ่ง การจัดงานแสดงสินค้าและสัมมนาด้านสิ่งแวดล้อมและการจัดการของเสียหรือ EnwastExpo 2023 (Environmental & Waste Management Expo 2023) จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 4-6 ตุลาคม 2566 ณ อาคาร 6 อิมแพค เมืองทองธานี ภายใต้ธีม”ร่วมขับเคลื่อนสู่โลกที่ดีกว่า” 
……………………………………..




  

วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ททท. ดัน “ผัดกะเพรา” สู่เมนูระดับโลก รุกจัดงาน “World Kaphrao Thailand Grand Prix 2023” ชูอัตลักษณ์อาหารไทย พร้อมเปิดเวทีเฟ้นหายอดฝีมือผัดกะเพราระดับประเทศ

บ่ายวันนี้ (10 สิงหาคม 2566) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) แถลงข่าวเปิดโครงการ “World Kaphrao Thailand Grand Prix 2023” เดินหน้าดันซอฟต์พาวเวอร์วัฒนธรรมอาหารเมนู “ผัดกะเพรา” อาหารจานด่วนประจำชาติ ภายใต้แนวคิด “The Greatest Kaphrao on Earth” พร้อมต่อยอดเปิดเวทีมหกรรมกะเพราเขย่าโลก “Pad Kaphrao Thailand Championship” ค้นหายอดฝีมือผัดกะเพราชิงแชมป์ประเทศไทย ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 1 ล้านบาท วันที่ 25 - 27 สิงหาคมนี้ ณ คลองผดุงกรุงเกษม (หัวลำโพง) กรุงเทพฯ


นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่า ททท. ภายใต้นโยบายของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬายังคงเดินหน้าตอกย้ำแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมปีท่องเที่ยวไทย 2566 มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวและนักชิมทั่วโลก โดยหนึ่งในกลยุทธ์หลักสำคัญคือการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) อีกหนึ่งตลาดที่มีศักยภาพสูงในการสร้างมูลค่าและสร้างรายได้เชื่อมโยงสู่ระดับชุมชน โดยได้ดึงเมนู “ผัดกะเพรา” ซึ่งเป็นอาหารจานด่วนที่เต็มไปด้วยคุณค่า ทั้งรสชาติ วัตถุดิบที่ปรับได้ตามความชอบ มีส่วนประกอบที่สำคัญคือ “กะเพรา” ที่ช่วยเติมกลิ่น เติมเนื้อสัมผัส และเป็นสมุนไพรที่ช่วยระบบทางเดินอาหาร เป็นอาหารไทยที่เป็นมรดกทางภูมิปัญญา เพื่อสะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนไทยที่มีมาแต่โบราณ มาเป็นแนวคิดในการจัดงาน

ทั้งนี้ ททท. ได้กำหนดจัดงาน “World Kaphrao Thailand Grand Prix 2023” ระหว่างวันที่ 25 - 27 สิงหาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 15.00 - 22.00 น. ณ บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม (หัวลำโพง) กรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิด “The Greatest Kaphrao on Earth” ที่สุดของกะเพราในโลกนี้ที่จะนำเสนอเรื่องราวและวัฒนธรรมของเมนูผัดกะเพราทั้งในรูปแบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่ พร้อมเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวและเหล่าผู้ที่ชื่นชอบการกิน (Foodies) ได้ลิ้มลองรสชาติความอร่อยของเมนูกะเพราที่หลากหลาย และได้รักษาเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ และมาตรฐานของภูมิปัญญาอาหารไทย รวมถึงให้ผู้ประกอบการสามารถนำสูตรอาหารไปสร้างโอกาส สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และเผยแพร่เมนูกะเพราให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในระดับโลก

ไฮไลท์สำคัญของ World Kaphrao Thailand Grand Prix 2023 คือ การจัดกิจกรรม “Pad Kaphrao Thailand Championship” แข่งผัดกะเพราชิงแชมป์ประเทศไทย ประเภทผัดกะเพราเนื้อ ภายใต้ธีม “Authentic & Beyond” ผัดกะเพราแท้ดั้งเดิมของไทย และ ผัดกะเพราใหม่ของโลก กำหนดให้ผู้เข้าแข่งขันใช้วัตถุดิบในการปรุงจากในประเทศและเน้นวัตถุดิบท้องถิ่นไม่ต่ำกว่า 50% รวมถึงต้องมีการตกแต่งจานอาหารที่แสดงอัตลักษณ์ความเป็นไทยและตั้งชื่อเมนูอาหารให้สอดคล้องและสร้างสรรค์ โดยจะแบ่งรอบการแข่งขันเป็นระดับภูมิภาค เพื่อคัดเลือกผู้ชนะจาก 5 ภูมิภาค และ 1 พื้นที่ ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง ภาคใต้ และกรุงเทพฯ จากนั้น นำผู้ชนะมาแข่งขันกันต่อในรอบสุดท้ายภายในงาน “World Kaphrao Thailand Grand Prix 2023” ในวันที่ 25-27 สิงหาคม 2566 ณ บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม (หัวลำโพง) กรุงเทพฯ โดยผู้ชนะการแข่งขันจะได้รับเงินรางวัลรวมกว่า 1 ล้านบาท  


นอกจากนี้ ภายในงานฯ ยังมีกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) โดยเฉพาะเมนูกะเพรา อีกหลากหลายกิจกรรม อาทิ การออกร้านจาก 12 ร้านกะเพรานานาชาติ ร้านสตรีทฟู้ดระดับตำนานกว่า 20 ร้านดัง ตลาดเพื่อนกะเพราและตลาดสดออร์แกนิกจัดจำหน่ายวัตถุดิบ ทั้งผักสด เนื้อสัตว์ และเครื่องปรุงอาหาร นิทรรศการให้ความรู้สวนกะเพราและพืชสมุนไพรไทย การจัดแสดงไฟประดับสวยงามตระการตาบริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม และกิจกรรมความบันเทิงและการแสดงจากศิลปินอีกมากมาย


_________________________________