วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2567
ททท.ภาคกลาง เชิญท่องเที่ยวบนดินแดนศิวิไลซ์ CIVILIZE FESTIVAL📍เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี
วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2567
ททท. เปิดห้างฯ เปิดโปรโมชั่น 999 บาท ไทยเที่ยวไทย Tourism Department Store ธีม “Flash Deal สุขทันทีที่เที่ยวหน้าฝน”
นางสาวสมฤดี จิตรจง รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ (ททท.)ได้ให้ข่าวว่า การจัดงาน“ไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 71” ครั้งนี้ ททท. สนับสนุนให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวเสนอขายแพ็กเกจพิเศษในราคาเดียว 999 บาท จำนวนทั้งสิ้น 20,000 สิทธิ โดยนักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อแพ็กเกจได้ 2 ทาง คือ ซื้อจากผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่มาออกบูธในงานไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 71 ในวันที่ 22 – 25 สิงหาคม 2567 จัดโดยบริษัทเอ็กซิบิชั่น แมนเนจเม้นท์ จำกัด ประมาณกว่า 700 รายและอีกทางหนึ่ง ททท. ได้อำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวสามารถซื้อแพ็กเกจพิเศษของผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวจากเว็บไซต์ tourismdepartmentstore.com (ห้าง ททท.) ได้ภายในงานฯ และระบบ Online ตั้งแต่วันที่ 22 – 31 สิงหาคม 2567 โดยบูธของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประมาณกว่า 500 ราย ในงาน “ไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 71” รอต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ด้านหน้า Hall 5 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร ประกอบด้วยห้าง ททท. Online 7 ชั้น คือ ชั้น 1 พาหนะเดินทาง-ตั๋วเครื่องบิน, ชั้น 2 ร้านอาหารและเครื่องดื่ม, ชั้น 3 โรงแรมและที่พักรีสอร์ตโฮมสเตย์, ชั้นที่ 4 ชอปปิงและของที่ระลึก, ชั้น 5 แหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมชุมชนท่องเที่ยว, ชั้น 6 บริษัททัวร์ และชั้น 7 โปรโมชั่นพิเศษในงานไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 71
ธีม “Flash Deal สุขทันทีที่เที่ยวหน้าฝน” ยกตัวอย่างประกอบด้วย
ภาคเหนือ : โรงแรมม่อนฟ้าใส โฮม รีสอร์ท เชียงราย, Ibis Styles Chiang Mai, ออนเซ็น แอท ม่อนแจ่ม เชียงใหม่, โรงแรมเมอร์เคียว เชียงใหม่, โรงแรมเชียงใหม่เกต, โรงแรมดวงตะวัน เชียงใหม่, โรงแรมม้งฮิลล์ไทร์ปล็อดจ์ เชียงใหม่, โรงแรมลำปางริเวอร์ลอดจ์, สุโขทัยเทรเชอร์รีสอร์ท แอนด์ สปา, โรงแรมทรีธารา ลำปาง, เลเจนด้า สุโขทัย รีสอร์ท, เลอชาร์ม สุโขทัย รีสอร์ท ฯลฯ
ภาคกลาง : โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ กรุงเทพฯ, Imperial Hotels and Resorts กรุงเทพฯ, Hotel Clover Asoke, Premium.Sushi & Seafood Buffet Dinner @The Emerald Coffee Shop โรงแรมดิเอมเมอรัลด์, Seafood Unlimited ณ ห้องอาหาร The SQUARE Novotel Bangkok Ploenchit Sukhumvit, เดอะแกรนด์ ชูร์ราสโก้ บุฟเฟต์สไตล์บราซิล, โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต, Kiriya spa @ Lit Bangkok Hotel, สวนสนุกดรีมเวิลด์, Haru Suki Buffet The Salaya Leisure Park นครปฐม, Asita Eco Resort สมุทรสงคราม, ร็อค รีสอร์ท ราชบุรี, โฮมพุเตยริเวอร์แควรีสอร์ท กาญจนบุรี , คำแสดริเวอร์แควรีสอร์ท กาญจนบุรี, เขาโทนริเวอร์วิว รีสอร์ท กาญจนบุรี, เรือนแพ ริเวอร์แคว จังเกิลราฟท์, โรงแรมโกลเด้นบีช ชะอำ,FuramaXclusive Sandara Hua Hin, Cha Am , Dolphin bay Resort ประจวบคีรีขันธ์, โรงแรมแอทที บูทีคประจวบคีรีขันธ์, โรงแรมยูอาร์ เดอะ ไพรเวทหัวหิน , บลูมารีน หัวหิน, Sundance Dayclub Hua Hin , โรงแรมหัวหิน ไวท์ วิลล่า ฯลฯ
ภาคตะวันออก : Novotel Bangkok Suvarnabhumi Airport Hotel,โรงแรม Royalcliff พัทยา, Bayphere Hotel Pattaya, Heeton Concept Hotel Pattaya, โรงแรมเอเชีย พัทยา,
GO HOTEL ชลบุรี, สวนไดโนเสาร์พัทยา, Ripley’s Believe It or Not! Pattaya, มินิมูร่าห์ฟาร์ม ฉะเชิงเทรา, ผึ้งหลวงแคมป์กราวด์ รีสอร์ท ปราจีนบุรี, Novotel Rayong Star Convention Centre ฯลฯ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : Khaoyai Farm Village & Fountain Tree Resort นครราชสีมา, โรงแรมเดอะพรรณราย อุดรธานี ฯลฯ
ภาคใต้ : สปาทรีตเมนต์ Vana Belle, a Luxury Collection Resort, เกาะสมุย, ทรายแดงสปาทรายแดง รีสอร์ท เกาะเต่า, Best Budget Hotel เกาะสมุย, Love Andaman ภูเก็ต, โปรแกรมนวด Fusion Suites Phuket Patong, PhuketDestination, โรงแรมแคนทารี เบย์ ภูเก็ต, Avani+ Khao Lak Resort, Peach hill resort ภูเก็ต, โรงแรมแคนทารี บีช เขาหลัก พังงา, Dusit Princess Phatthalung รวมทั้งสายการบิน : ไทยไลอ้อนแอร์, นกแอร์, เวียตเจ็ท และรถเช่า : BUDGET CAR AND TRUCK RENTAL, AVIS Rent A Car นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมไฮไลต์สำหรับนักท่องเที่ยวที่ซื้อแพ็กเกจ จะมีสิทธิ์รับกระเป๋าผ้า “สุขทันทีที่เที่ยวหน้าฝน” จาก ททท. เป็นของที่ระลึก จำนวนจำกัดเพียง 400 ใบเท่านั้น
ททท. มั่นใจว่าการบูรณาการร่วมกับพันธมิตรผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในการออกบูธภายในงานครั้งนี้ ตลอดจนผู้ประกอบการภาคออนไลน์จากห้าง ททท. จะกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวธรรมชาติ ในช่วงไตรมาส 4 ได้เป็นอย่างดี โดยคาดว่างาน “ไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 71” จะสร้างรายได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2567
คึกคักมากกับการออกเดินทางยามเช้า "สุขทันทีที่เที่ยวกับรถไฟไทย เดินทางครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม" ไปกับ Royal Blossom เส้นทางกรุงเทพฯ-กาญจนบุรี
ซึ่งความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงานหลักที่ดำเนินการโดย การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รวมถึงหน่วยงานพันธมิตรจาก บริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด บริษัท เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และทิพยประกันภัย ร่วมสร้างสรรค์กิจกรรมท่องเที่ยวในครั้งนี้
มกอช. ขานรับข้อสั่งการ “รมว.เกษตรฯ” ลุยสวนทุเรียน-โรงรวบรวมผลทุเรียนชุมพร สร้างการรับรู้ปฏิบัติตาม มกษ. 9070-2566 ผลิตทุเรียนคุณภาพเพื่อการส่งออก ขณะที่ผู้ประกอบการ ตอบรับพร้อมปรับเข้าสู่หลักเกณฑ์
วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2567
สถาบันอาหาร - ส.อ.ท. - สภาหอการค้าฯชี้ส่งออกอาหารไทยครึ่งปีแรก 67 โต 9.9% มูลค่า 8.5 แสนล้านบาทลุ้นสิ้นปี 67 ฝ่าปัจจัยเสี่ยงสู่เป้า 1.65 ล้านล้านบาท
สถาบันอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เผยการส่งออกสินค้าอาหารของไทย 6 เดือนแรกปี 2567 มีมูลค่า 852,432 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9 ลุ้นครึ่งปีหลังขยายตัวต่อเนื่อง คาดอัตราต่ำกว่าครึ่งปีแรก หรือในราวร้อยละ 7.8 มีมูลค่า 797,568 ล้านบาท มั่นใจเป้าส่งออกทั้งปี 67 จะแตะ 1.65 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 8.8 หลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัวลง อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูง ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบในภาคเกษตรที่ต่อเนื่องมาจากในช่วงครึ่งปีแรก ค่าเงินบาทยังคงผันผวนและมีทิศทางแข็งค่าขึ้น ต้นทุนค่าขนส่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอัตราค่าระวางเรือ รวมถึงปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อ
ศูนย์การเรียนรู้อาหารไทย สถาบันอาหาร//การแถลงข่าวร่วม 3 องค์กรเศรษฐกิจด้านธุรกิจเกษตรและอาหารมีตัวแทนหลักของทั้ง 3 องค์กร ประกอบด้วย ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร หน่วยงานเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม ดร.เจริญ แก้วสุกใส ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่ง
ประเทศไทย (ส.อ.ท.) และดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต ร่วมให้รายละเอียด
ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร หน่วยงานเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า
ภายใต้ความร่วมมือของ 3 องค์กร ในส่วนของสถาบันอาหารจะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องภายใต้การดำเนินงานของศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร โดยมีสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมบูรณาการข้อมูล พบว่า การส่งออกสินค้าอาหารไทยในช่วง 6 เดือนแรก ปี 2567 แตะระดับ 852,423 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9 ปัจจัยหลักมาจากความต้องการสินค้าอาหารไทยในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ต้นทุนวัตถุดิบหลักในการแปรรูปหลายรายการอ่อนตัวลง โดยราคาปลาทูน่าที่ลดลงส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมปลาทูน่าแปรรูปและ
อาหารสัตว์เลี้ยง กลุ่มผู้ผลิตซอสได้รับต้นทุนน้ำตาลและถั่วเหลืองที่มีราคาถูกลง ราคากากถั่วเหลืองและราคาข้าวโพดที่ลดลงเอื้อต่อผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุตสาหกรรมไก่ การลดลงของราคาข้าวสาลีในตลาดโลกช่วยลดต้นทุนการผลิต
ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ขนมปังกรอบ รวมทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น
สำหรับกลุ่มสินค้าที่ปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นและส่งผลบวกต่อภาพรวมส่งออกอาหาร ได้แก่ ข้าว (+25.3%/+55.7%) แป้งมันสำปะหลัง (+21.1%/+30.5%) อาหารสัตว์เลี้ยง (+20.7%/+41.7%) ปลาทูน่ากระป๋อง (+20.7%/+19.2%) ซอสและเครื่องปรุงรสรส (+10.796/+16.79%) และผลิตภัณฑ์มะพร้าว (+19.76/+29.4%) ส่วนกลุ่มสินค้าที่ปริมาณส่งออกลดลง ส่วนใหญ่ประสบปัญหาด้านผลผลิต โดยเฉพาะผลไม้สดที่ปริมาณส่งออกลดลงร้อยละ 11.9 น้ำตาลทราย ปริมาณส่งออกลดลงร้อยละ 46.4 กุ้ง ปริมาณส่งออกลดลง ร้อยละ 6.8 และสับปะรด ปริมาณส่งออกลดลง
ร้อยละ 13.0
“ทั้งนี้ ปริมาณและราคาส่งออกข้าวไทยเพิ่มสูงขึ้นตามความต้องการตลาดโลกหลังอุปทานข้าวโลกตึงตัวจากการที่อินเดียยังคงจำกัดการส่งออก การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงและปลาทูน่ากระป๋องขยายตัวสูง อานิสงส์จากราคาปลาทูน่าที่อยู่ในระดับต่ำ ความต้องการปลาทูน่ากระป๋องในกลุ่ม OEM มีแนวโน้มโดดเด่นเพราะได้รับประโยชน์จากราคาขายลดต่ำลงตามต้นทุนวัตถุดิบ
ซอสและเครื่องปรุงรสรสขยายตัวจากการที่ผู้ประกอบการไทยเน้นการรุกตลาดซอสบนโต๊ะอาหาร (Dipping/Table Sauces) รสชาติเผ็ดร้อนมากขึ้น หลังจากซอสในกลุ่มดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมากจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ในประเทศฝั่งชาติตะวันตกทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกา การส่งออกผลิตภัณฑ์มะพร้าวขยายตัวสูงในกลุ่มกะทิที่นำไปประกอบอาหารในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ ออสเตรเลีย รวมถึงกะทิที่ผสมและใช้เป็นเครื่องดื่มสุขภาพในตลาดจีน”
ตลาดส่งออกอาหารไทยในช่วง 6 เดือนแรก ปี 2567 ส่วนใหญ่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับสูง อาทิ แอฟริกา
(+38.5%) โอเชียเนีย (+29.0%) สหรัฐอเมริกา (+23.0%) สหราชอาณาจักร (+17.2%) ตะวันออกกลาง (+16.7%) สหภาพยุโรป (+14.4%) CLMV (+12.5%) และญี่ปุ่น (+8.4%) มีเพียงตลาดส่งออกไปยังประเทศอินเดีย (-18.1%) และจีน (-5.0%) ที่หดตัวลง โดยอินเดียหดตัวลงตามสินค้าน้ำมันปาล์มเป็นหลักและหันไปนำเข้าน้ำมันถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น ขณะที่ตลาดจีนหดตัวลงตามสินค้าผลไม้สด (ทุเรียน) กุ้ง และไก่สดแช่แข็ง เป็นต้น
ดร.ศุภวรรณ กล่าวต่อว่า สำหรับมูลค่าการค้าอาหารโลก 6 เดือนแรก ปี 2567 หดตัวลงร้อยละ 4.0 มูลค่า
การค้า 933 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยประเทศผู้ส่งออก 9 อันดับแรกของโลก มีอันดับโลกไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อนได้แก่ สหรัฐอเมริกา บราซิล เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี จีน ฝรั่งเศส สเปน แคนาดาและอิตาลี ตามลำดับ สำหรับประเทศไทยส่งออกในรูปดอลลาร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เป็นอันดับที่ 12 ของโลก
“แนวโน้มการส่งออกอาหารไทยในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะมีมูลค่า 797,568 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 โดยการส่งออกในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ปี 2567 จะมีมูลค่า 395,536 ล้านบาท และ 402,032 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 และ 9.9 ตามลำดับ โดยภาพรวมในปี 2567 คาดว่าการส่งออกของอาหารไทยจะมีมูลค่า 1.65 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 เทียบจากปีก่อน (66) ที่มีมูลค่า 1.51 ล้านล้านบาท มีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการที่ประเทศคู่ค้ากังวลเรื่องความมั่นคงทางอาหาร หลายประเทศขาดศักยภาพในการผลิตสินค้าเพื่อการแข่งขันในตลาดโลก สินค้าอาหารไทยมีภาพลักษณ์ด้านคุณภาพมาตรฐานและได้รับความเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม คาดว่าการส่งออก
ขยายตัวต่ำกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากมีแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูง ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบในภาคเกษตรที่ต่อเนื่อง ค่าเงินบาทยังคงผันผวนและมีทิศทางแข็งค่าขึ้น ต้นทุนค่าขนส่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอัตราค่าระวางเรือ รวมถึงปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค”
ดร.เจริญ แก้วสุกใส ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(ส.อ.ท.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในด้านการส่งออก ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อรองรับสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะการค้นหาและกลั่นกรองลูกค้าที่มีศักยภาพทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ๆ เพื่อ
ขยายโอกาสของสินค้าอาหารไทยในอนาคต ขณะเดียวกันก็ต้องหันกลับมามองตลาดในประเทศด้วยว่าปัจจุบันมีสินค้าอะไรบ้างที่กำลังถูกเบียดแย่งส่วนแบ่งตลาดจากสินค้านำเข้า โดยเฉพาะกลุ่มทุนจากประเทศจีนที่รุกหนักมากทั้งธุรกิจ
ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ที่เชื่อมโยงไปสู่สินค้าเกี่ยวเนื่อง ตัวอย่างเช่น เครื่องปรุงรส เครื่องดื่มชนิดต่างๆ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง ผักและผลไม้อบแห้ง ขนมขบเคี้ยวต่างๆ เป็นต้น ซึ่งตลาดอาหารในประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพทั้งมิติของตลาดในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยที่มีมากถึง 65 ล้านคน และกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคนต่อปี จึงเป็นที่หมายปองของหลายๆ ประเทศ
ดังนั้น การบรรลุเป้าหมายด้านความปลอดภัย ความมั่นคง และความยั่งยืนของสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม ผู้ที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องมีมาตรการติดตามและเฝ้าระวังสินค้าอาหารและเครื่องดื่มจากจีน รวมถึงประเทศอื่นๆ ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการไทยต้องมีกลยุทธ์ในการปรับตัวรับสภาวะการแข่งขันดังกล่าว ทั้งในด้านการ
ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุนสินค้า การรักษาคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยอาหาร การมุ่งเน้นการผลิตสินค้าตามที่ตลาดต้องการ ตลอดจนการเฟ้นหาลูกค้าและตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์ทางธุรกิจเหล่านี้เชื่อว่าจะ
มีส่วนสำคัญช่วยให้สินค้าอุตสาหกรรมอาหารของไทยสามารถแข่งขันกับสินค้าต่างชาติได้ทั้งตลาดในประเทศและตลาดโลก
ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวนและภาคผลิตของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งการส่งออกอาหารไทยยังมีปัจจัยจากแรงกดดันเรื่องต้นทุนค่าระวางเรือ ส่งผลให้ผู้นำเข้าปลายทางชะลอการนำเข้าโดยตรง ประกอบกับสินค้าที่ประเทศจีนสามารถผลิตได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำมาก ส่งผลทำให้ตลาดต่างๆ อยู่ในภาวะการแข่งขัน
สูง ดังนั้น ยังคงต้องติดตามการตอบโต้ทางการค้าของประเทศปลายทางด้วย
“ประเด็นที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวและติดตามใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องค่าเงินบาทที่ผันผวนอย่างรุนแรง จากมาตรการทางการเงินของประเทศต่างๆ ที่เริ่มมีการลดดอกเบี้ยในหลายประเทศ เบื้องต้นผู้ประกอบการต้องประกันความเสี่ยงค่าเงิน ส่วนในภาพรวมธนาคารแห่งประเทศไทยต้องติดตามนโยบายการเงินของประเทศต่างๆ อย่างใกล้ชิด และแก้ไขสถานการณ์ให้ทันเหตุการณ์ไม่ปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่าจนไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของการส่งออก
ของประเทศไทยที่ยังเป็นส่วนสำคัญในการชี้ชะตา GDP ของไทยในอนาคต”
สุดท้ายนี้ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ภายใต้นโยบาย “Connect-Competitive-
Sustainable” เราได้มุ่งมั่นยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเกษตรและอาหารของไทย โดยได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนโครงการอันส่งผลต่อการเพิ่มศักยภาพธุรกิจเกษตรและอาหารตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ อาทิ จัดตั้งศูนย์ประสานงานและประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรและอาหาร หรือศูนย์ AFC ร่วมกับภาคีเครือข่าย 28 องค์กร เพื่อแก้ไขปัญหาสินค้าล้นตลาดและราคาตกต่ำให้เกิดเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งได้ร่วมมือกับสถาบันอาหารในการศึกษารูปแบบบริหารจัดการเครือข่ายความร่วมมือ และสร้างต้นแบบการบริหารจัดการ Food Valley ในจังหวัดขอนแก่นภายใต้โครงการ Khon Kaen Food Valley Cluster เพื่อขยายผลให้เป็น Role Model ไปในจังหวัดต่างๆ ตลอดจนการรณรงค์บริโภคอาหารโปรตีนทางเลือกในการประชุมภายในองค์กรอย่างน้อย 30% ของมื้ออาหารปกติ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจอาหารจากโปรตีนทางเลือกของประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายมูลค่าอุตสาหกรรมอาหารอนาคตของไทย 500,000 ล้านบาทในปี 2570 ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์เป้าหมาย SDGs และ BCG เท่านั้น แต่ยังจะเป็นการจัดการและเพิ่มมูลค่าของ Food waste และ Food loss ในระบบการผลิตอาหารเพื่อความยั่งยืนของเกษตรกรผู้ประกอบการและความยั่งยืนของโลกอีกด้วย
........................................................