วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ชวนเที่ยวงาน “ภูเขาทอง (วัดสระเกศ)” สืบสานประเพณีห่มผ้าแดง บูชาพระบรมมาสารีริกธาตุ องค์พระเจดีย์บรมบรรพต (ภูเขาทอง) ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๗นมัสการ

ชวนเที่ยวงาน “ภูเขาทอง (วัดสระเกศ)” 
สืบสานประเพณีห่มผ้าแดง บูชาพระบรมมาสารีริกธาตุ 
องค์พระเจดีย์บรมบรรพต (ภูเขาทอง) ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๗
นมัสการ ๙ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญ เพื่อความเป็นสิริมงคล

          
ประเพณีห่มผ้าแดง”งานภูเขาทอง (วัดสระเกศ)” เป็นพิธีที่ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมายาวนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ มีความเชื่อว่า การได้ห่มผ้าแดงองค์พระเจดีย์บรมบรรพต จะสร้างอานุภาพแห่งการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายนานาประการ
โดยในปีนี้ งานภูเขาทอง (วันสระเกศ ) จะเริ่มขึ้นใน วันศุกร์ ที่ ๘ เดือน พฤศจิกายน จะสิ้นสุด วันอาทิตย์ ที่ ๑๗ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๗
ประวัติความเป็นมาประเพณีห่มผ้าแดง บูชาพระบรมสารีริกธาตุ
งานภูเขาทองนี้เป็นประเพณีเก่าแก่มีมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
รัชกาลที่ ๕ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีการจัดมานานกว่า ๑๐๐ ปีแล้ว (หยุดจัดงานไป๒ครั้งคือ ประมาณพุทธศักราช๒๔๙๗ ที่ได้บูรณะบรมบรรพต ภูเขาทอง หลังสงครามโลกครั้งที่๒ และงานพระราชพิธีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๙ พุทธศักราช๒๕๕๙-๒๕๖๑)
หลังได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานที่พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศ ได้มีการจัดพิธีการห่มผ้าแดงขึ้นทุกปี ในวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ จนถึง วันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ตั้งแต่ก่อนจนถึงหลังพิธีลอยกระทง รวม ๑๐ วัน ๑๐ คืน

หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับมอบพระบรมสารีริกธาตุมาจากประเทศอินเดียแล้วโปรดให้นำมาประดิษฐานไว้บน บรมบรรพต ภูเขาทอง พระองค์รับสั่งให้มีการจัดงานเพื่อทำการเฉลิมฉลอง บูชาพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อชาวพระนคร พระองค์ได้พระราชทานผ้าสีแดงเพื่อมาห่มบูชาพระบรมสารีริกธาตุ อันเป็นธงชัยสัญลักษณ์ของงานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ เนื่องจากในสมัยก่อนภูเขาทองเป็นสถานที่สูงสามารถมองเห็นได้จากที่ห่างไกลไปหลายกิโลเมตร นับว่าเป็นความอัจฉริยภาพของพระองค์ที่ได้นำผ้าสีแดงมาเป็นสัญลักษณ์ของงานนี้
ทำให้ประชาชนที่อยู่ห่างไกลมองเห็นธงสีแดงแล้วเกิดความเข้าใจว่า งานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ วัดภูเขาทอง เริ่มขึ้นแล้ว ก็จะพากันมากราบไหว้สักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุ 
แม้ในสมัยพุทธกาลก็มีพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุใหญ่บ้างเล็กบ้าง องค์ใหญ่คนก็มองเห็น องค์เล็กคนก็มองไม่เห็น พระโพธิสัตว์ได้นำผ้ามาประดับบูชาพระบรมสารีริกธาตุอันเป็นสัญลักษณ์ว่า ที่ตรงนี้มีพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ทำให้คนที่ผ่านไปมาได้ทราบแล้วมาทำการบูชา นับว่ามีอานิสงส์มากมาย นับเป็นเจตนาที่ดีของบูรพมหากษัตริย์ไทยที่ได้พระราชทานผ้าสีแดงมาเพื่อทำการห่มบูชาพระบรมสารีริกธาตุและคนไทยเชื้อสายจีนหรือคนจีนยังถือว่าสีแดงเป็นสีแห่งความเป็นมงคล
ทั้งนี้ความหมายของการห่มผ้าสีแดงให้กับองค์พระบรมสารีริกธาตุ ภูเขาทอง เนื่องจากสีแดงตามความเชื่อโบราณคือสีแห่งความเป็นมงคล

นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่า ผู้ที่เขียนชื่อ และนามสกุล ลงบนผ้าสีแดงแล้วนำผ้านั้นไปห่มบูชาพระบรมสารีริกธาตุก็จะได้รับความเป็นสิริมงคล อีกทั้งยังทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตราย

เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตมากยิ่งขึ้น เมื่อมาวัดสระเกศ ควรจะไหว้ที่ไหนบ้าง  
มาทำความรู้จัก ๙ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญภายในวัดสระเกศ 
 ๑. ลานโพธิ์ลังกา / พระพุทธเจ้าน้อย / ต้นโพธิ์ลังกาพันธุ์พระศรีมหาโพธิ์ / รูปเหมือนสมเด็จ พระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ)
   ลานโพธิ์ลังกา เป็นสถานที่รวม ๓ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของพระอาราม ประกอบด้วย 
  ๑.๑ ต้นโพธิ์ลังกา Bodhi Lanka
ต้นโพธิ์ หรือต้นอัสสัตถพฤกษ์ พันธุ์พระศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอาจารย์ดีและพระอาจารย์เทพ หัวหน้าสมณทูตจากวัดสระเกศซึ่งรัชกาลที่ ๒ โปรดเกล้าฯ ให้ไปสืบพระศาสนาที่ประเทศศรีลังกาเป็นเวลา ๓ ปี เมื่อกลับมาได้นำต้นกล้าซึ่งเป็นหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์จากเมืองอนุราธบุรีมาถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๓ พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกไว้ที่วัดสระเกศหนึ่งต้น อีกสองต้นโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกไว้ที่วัดสุทัศน์และวัดมหาธาตุ พระศรีมหาโพธิ์คงเจริญงอกงามเป็นร่มเงาถึงทุกวันนี้ การที่เราได้แสดงความเคารพ ถวายสักการะต้นโพธิ์ เปรียบเสมือนได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและซึมซับพระธรรมคำสั่งสอนมาสู่ชีวิต เพื่อให้เกิดสันติสุขภายในใจของผู้มีศรัทธาทั้งหลาย ท่ามกลางความสงบร่มเย็นที่ท่านจะสัมผัสได้เมื่ออยู่ใต้ร่มโพธิ์แห่งนี้
   ๑.๒ พระพุทธเจ้าน้อย แสดงถึงความเป็นหนึ่งในโลก ความเป็นยอดคนในโลก และความเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก
  พระพุทธเจ้าน้อยซึ่งประดิษฐาน ณ ลานโพธิ์ลังกา เป็น ๑ ใน ๓ พระพุทธเจ้าปางประสูติที่หล่อขึ้นเพื่ออัญเชิญไปประดิษฐาน ณ ลุมพินีวัน ประเทศเนปาล สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า โดยได้อัญเชิญอีก ๑ องค์มาประดิษฐานที่ลานโพธิ์ลังกา ด้านหน้าพระอุโบสถวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร เพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกถึงการบูรณะเส้นทางแสวงบุญสู่ลุมพินีวัน สถานที่ประสูติของพุทธเจ้า 
  ๑.๓ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร อดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระมหาเถระผู้เป็นประวัติศาสตร์ความทรงจำพระพุทธศาสนาโลก 
  หากเอ่ยนามพระสงฆ์ผู้เป็นต้นแบบแห่งสงฆ์ที่พุทธบริษัทปรารถนาจะได้พบเห็น ซึ่งเป็นหนึ่งในทัสนานุตริยะที่เป็นมงคลยิ่ง เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นพระมหาเถระที่ได้รับการกล่าวนามถึงมากที่สุดรูปหนึ่งในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาบนผืนแผ่นดินไทย ทั้งนี้ ก็ด้วยใบหน้าที่เปิดยิ้ม ฉายแววแห่งความเมตตา ทักทายผู้คนทุกชนชั้นที่พบเห็น 
  นอกจากนั้น เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ยังเป็นผู้ริเริ่มวางรากฐานแนวคิดนำพระพุทธศาสนาก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ และนำพระพุทธศาสนาขจรขจายไปก้องโลก เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นองค์ปฐมผู้ก่อตั้งสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ ทำให้วัดไทยเกิดขึ้นทุกมุมโลก ปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน 
 • ขอความเป็นหนึ่งขอพระพุทธเจ้าน้อย • ขอวิสัยทัศน์ขอหลวงพ่อสมเด็จฯ • ขอความสำเร็จ ขอต้นพระศรีมหาโพธิ์ • 

๒. พระประธานประจำพระอุโบสถวัดสระเกศ มีพระนามว่า “พระพุทธมงคลชินสีห์วชิรมุนี” 
 พระพุทธลักษณะของพระประธาน เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิซึ่งไม่ค่อยพบมากนักในงานช่างไทยสมัยเดียวกัน ลักษณะโดยรวมใกล้เคียงกับพระพุทธรูปในสมัยอยุธยา จึงแสดงให้เห็นถึงงานที่สืบต่อมาจากสมัยอยุธยาตอนปลาย ตรงตามประวัติที่กล่าวว่า รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพอกทับพระประธานองค์เดิม ลักษณะดังกล่าวเป็นงานช่างที่ต่างจากงานช่างในสมัยรัชกาลที่ ๓ ซึ่งจะมีพระพักตร์อย่างหุ่นอันเป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดขึ้นในภายหลัง 
 ลักษณะของพระพุทธรูปประธานประจำพระอุโบสถวัดสระเกศ มีพระพักตร์ค่อนข้างสี่เหลี่ยมแบบอยุธยา ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลวสูง พระโอษฐ์กว้างแบบอยุธยา ลักษณะชายสังฆาฏิที่ซ้อนทับกันแบบเดียวกับพระพุทธรูปอยุธยาตอนปลาย ในสมัยของพระเจ้าปราสาททอง มีส่วนที่แตกต่าง คือ ในสมัยรัตนโกสินทร์นิยมทำสังฆาฏิพาดกึ่งกลางพระวรกาย ในขณะที่พระพุทธรูปสมัยอื่น ๆ นั้น ชายสังฆาฏิจะอยู่ทางเบื้องซ้าย 
 สำหรับฝาผนังภายในพระอุโบสถระหว่างซุ้มหน้าต่างเป็นภาพทศชาติ ด้านบนเป็นภาพเทวดาและท้าวจตุโลกบาล ส่วนด้านหน้าเป็นภาพมารวิชัย ด้านหลังพระประธานเป็นภาพไตรภูมิ คือ ภาพสวรรค์ มนุษย์ และนรก
 • ขอความเป็นใหญ่ขอการเริ่มต้นที่ดี ขอหลวงพ่อพระประธาน • 

๓. พระอัฏฐารส / หลวงพ่อดุสิต 
 มีพระนามเต็มว่า พระอัฏฐารสศรีสุคตทศพลญาณบพิตร ศิลปะสกุลช่างสมัยสุโขทัยตอนต้น คาดว่า มีอายุร่วม ๗๐๐ ปี เป็นประพุทธรูปยืนที่มีความสูงที่สุดในกรุงเทพมหานคร มีความสูงถึง ๕ วา ๑ ศอก ๑๐ นิ้ว (๒๑ ศอก ๑ นิ้ว) หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์ โดยไม่มีการเชื่อมต่อ นับว่าเป็นการหล่อพระพุทธรูปด้วยโลหะที่มีขนาดสูงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชนชาติไทย เดิมประดิษฐานอยู่วัดวิหารทอง เมืองพิษณุโลก วัดประจำพระราชวังจันทน์ ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ต่อมา รัชกาลที่ ๓ โปรด ฯ ให้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่พระวิหาร วัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันพระอัฏฐารสเป็นพระพุทธรูปหล่อโลหะองค์สุดท้ายของกรุงสุโขทัยที่คงหลงเหลืออยู่
 ในวันที่ ๑๕ เมษายนของทุกปี พระวิหารพระอัฏฐารส ยังใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ บทมหาสมัยสูตร เพื่อทำน้ำพระพุทธมนต์แจกจ่ายให้ประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของวัดสระเกศที่สืบเนื่องมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ จนถึงปัจจุบัน 

 หลวงพ่อดุสิต 
 มีประวัติว่า เดิมเป็นพระประธานประจำพระอุโบสถวัดดุสิตมาก่อน วัดดุสิตนั้น แต่เดิมตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานพระราชวังดุสิต อยู่ใกล้กันกับวัดแหลมหรือวัดเบญจมบพิตร 
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงสร้างพระราชวังดุสิตและสวนดุสิต จำต้องขยายบริเวณเกินเนื้อที่วัดทั้งสองวัด จึงทรงพระราชปรารภสร้างวัดชดใช้วัดทั้งสองขึ้นวัดหนึ่ง คือ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม แล้วจึงได้โปรด ฯ ให้อัญเชิญพระประธานในพระอุโบสถวัดดุสิตไปประดิษฐานอยู่ในห้องด้านหลังพระวิหารพระอัฏฐารส ซึ่งว่างอยู่ ภายหลังเรียกกันว่า “หลวงพ่อดุสิต” ประดิษฐานอยู่ตลอดมาจนทุกวันนี้ 
 • ขอลูก ขอหลวงพ่อพระอัฏฐารส • ขอความสุขความยุติธรรม ขอหลวงพ่อดุสิต • 

๔. คัมภีร์โบราณ ๒,๐๐๐ ปี พระธรรมเจดีย์นี้มีการขุดค้นพบในถ้ำเทือกเขาบาบิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน บนเส้นทางสายไหม ซึ่งสมัยพุทธกาล เรียกว่า “แคว้นคันธาระ” อันเป็นแคว้นต้นกำเนิดพระพุทธรูปยุคแรกของโลก โดยพระคัมภีร์ดังกล่าวได้รับการยืนยันว่า เป็นผลงานจารึกของเหล่าพระอรหันตสาวก ในราวพุทธศตวรรษที่ ๖ หรือประมาณ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ได้ทำการจารึกลงบนใบลาน เปลือกไม้ หนังสัตว์ และแผ่นทองเหลือง ด้วยอักษร “พราหมีโบราณ” ซึ่งเป็นอักษรที่ใช้ในสมัยพุทธกาลหรือหลังจากนั้นไม่นาน ทั้งนี้ สถาบันอนุรักษ์สเคอเยนแห่งราชอาณาจักรนอร์เวย์ ได้พระคัมภีร์ชุดแรกมาจากผู้ค้าของเก่า ซึ่งถูกลักลอบขนย้ายออกจากหุบเขาบาบิยัน และแตกหักเล็กน้อยไว้ได้ประมาณ ๕,๐๐๐ ชิ้น และชิ้นส่วนเล็ก ๆ อีกประมาณ ๘,๐๐๐ ชิ้น ซึ่งนักโบราณคดี นักภาษาศาสตร์ จากนานาชาติได้ร่วมกันชำระเป็นเวลา ๑๒ ปี จึงทำให้ทราบแน่ชัดว่า พระคัมภีร์โบราณนั้น คือ “พระไตรปิฎก” นั่นเอง
ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สถาบันอนุรักษ์สเคอเยนได้มอบชิ้นส่วนคัมภีร์โบราณ จำนวน ๒ ชิ้น แก่วัดสระเกศ โดยชิ้นส่วนคัมภีร์นี้ทำมาจากใบลาน ความยาวประมาณ ๔ เซ็นติเมตร มีรายละเอียดระบุถึงโพธิสัตว์ปิฎกสูตร ชิ้นส่วน “คัมภีร์โบราณ” เหล่านี้คือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่าแม้กาลเวลาจะล่วงมาเกิน ๒,๐๐๐ ปี แต่แนวทางการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ายังคงได้รับการรักษาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์และถูกสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันเหมือนครั้งที่พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ ทางวัดได้สร้างพิพิธภัณฑ์จำลองถ้ำบามิยันบริเวณทางขึ้นภูเขาทอง เพื่อประดิษฐานคัมภีร์พระพุทธศาสนาโบราณขึ้นเป็นการเฉพาะ รวมถึงองค์พระพุทธรูปแห่งบามิยัน เพื่อให้พุทธศาสนิกชนที่เข้าชมได้รู้ถึงที่มาของคัมภีร์พระพุทธศาสนาโบราณด้วย
 • ขอความมั่นคง ขอความมั่งคั่ง ขอหลวงพ่อบามิยัน • 

๕. หลวงพ่อดำ 
พระพุทธรูปหลวงพ่อดำ เป็นพระปูนปั้นปิดทอง ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๔ ศอก ฝีมือช่างปั้นยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระพุทธรูปที่สร้างคู่กับพระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) มาแต่ต้น เล่ากันว่าสร้างไว้เพื่อให้เจ้านายและพุทธบริษัททั่วไปที่ไม่สามารถขึ้นไปสักการะด้านบนองค์พระบรมบรรพตได้บูชาที่พระพุทธรูปองค์นี้แทน ส่วนที่เรียกว่า “หลวงพ่อดำ” เพราะแต่เดิมลงรักสีดำไว้แล้วไม่ได้ปิดทอง จึงกลายเป็นพระพุทธรูปสีดำ แต่ภายหลังได้มีการบูรณะปิดทององค์หลวงพ่อและสร้างวิหารใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับที่เป็นพระพุทธรูปองค์สำคัญของวัด จนมีความสวยงามดังที่เห็นในปัจจุบัน
 • ขอโชคลาภขอความรัก ขอหลวงพ่อดำ 

๖. หลวงพ่อดวงดี มีพระนามเต็มว่า “พระพุทธมงคลบรมบรรพต” เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หรือปางตรัสรู้ มีพุทธลักษณะพุทธศิลป์แห่งพุทธศตวรรษที่ ๒๖ มีความงดงาม โดดเด่น ด้วยศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ หล่อขึ้นจากแผ่นดวงมหาโภคทรัพย์ที่บรรจุอยู่บนยอดพระบรมบรรพต ภูเขาทอง 
ถวายพระนามโดย เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และมีบัญชาให้ประดิษฐาน ณ ศาลาสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ 
 นอกจากนั้น ที่ศาลาหลวงพ่อหลวงดี ยังเป็นที่ประดิษฐานประติมากรรมและรูปหล่อ ตลอดจนจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับประวัติของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) และจิตรกรรมฝาผนังไตรภูมิจักรวาล และจิตรกรรมฝาผนังแสนโกฏิจักรวาล อันวิจิตรงดงาม 
 มีคติแห่งการสักการะหลวงพ่อดวงดีว่า ผู้ใด ได้สักการะบูชา จะมีดวงชะตาที่ดี เป็นที่รักของมิตรสหาย ปลอดภัยจากอุปสรรคนานาประการ 
 • ขอดวงชะตาราศีที่ดี ขอหลวงพ่อดวงดี • 

 ๗. หลวงพ่อโชคดี มีพระนามเต็มว่า "พระพุทธมงคลสุวรรณบรรพต” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หรือปางชนะมาร ขนาด ๓๙ นิ้ว มีพุทธลักษณะพุทธศิลป์ มีความโดดเด่นด้วยพระเกศมีลักษณะเปลวเพลิง หล่อด้วยเงิน บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีความงดงามด้วยศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ถวายพระนามโดย เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งนับเป็นพระพุทธรูปองค์สุดท้ายที่เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นประธานเททองหล่อ และมีบัญชาให้ประดิษฐาน ณ ศาลาสุวรรณบรรพต วัดสระเกศ ด้านหลังพระประธาน มีจิตรกรรมฝาผนังต้นดอกมณฑาทิพย์ ประตููมณฑาทิพย์โปรยฟ้า ประตูพฤกษาภิรมย์ และพญานาค ๔ ตระกูล 
 มีคติแห่งการสักการะหลวงพ่อโชคดีว่า ผู้ใด ได้สักการะบูชา ย่อมมีแต่ความโชคดี ประสบสมหวังดังใจปรารถนาทุกประการ
 • ขอความสมหวัง ขอความมีโชค ขอหลวงพ่อโชคดี • 

 ๘. หลวงพ่อโต
 หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปหล่อ ปิดทอง ในสมัยรัชกาลที่ ๓ หน้าตักกว้าง ๗ ศอก ๑ คืบ ส่วนสูง ๑๐ ศอก นับว่าป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะที่มีขนาดใหญ่และมีความสำคัญมากองค์หนึ่ง เพราะการสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ทั่วไปในสมัยก่อนมักจะปั้นด้วยปูนมากกว่า ส่วนที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "หลวงพ่อโต" ก็คงเนื่องจากเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่นั้นเอง
เดิมพระพุทธรูปองค์นี้ รัชกาลที่ ๓ โปรดให้หล่อประดิษฐานไว้ริมคลองมหานาค ในสมัยเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช อยู่ ญาโณทยมหาเถระ ครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ทรงดำริที่จะนำหลวงพ่อโตเข้ามาประดิษฐานที่เชิงบรมบรรพต (ภูเขาทอง) เพื่อให้เหมาะสมกับที่เป็นปูชนียวัตถุสำคัญซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงสร้าง เมื่อพระราชดำรินี้ได้ทราบถึง ดร.บุญรอด บิณฑสันต์ และคุณหลวงสัมฤทธิวิศวกรรม (โกศล สุขประยูร) จึงได้สละทรัพย์เป็นค่าก่อสร้างฐานรองรับใหม่ ด้วย ดร.บุญรอด ในสมัยเด็กฟื้นจากความตายได้ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโต ทางครอบครัวจึงมีศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อโตนี้มาก ต่อมาทางวัดได้สร้างพระวิหารขึ้นใหม่เพื่อให้เหมาะสมและสะดวกแก่ผู้ที่มาสักการะ
 • ขอสุขภาพแข็งแรง ขอหลวงพ่อโต •

๙. พระบรมสารีริกธาตุ
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๔๑ มิสเตอร์ วิลเลี่ยม แคลกตัน เปปเป ชาวอังกฤษ ได้ขุดพบอิฐธาตุในพระสถูป ณ ที่ใกล้ตำบลปิปราหวะ ตั้งอยู่ปลายชายแดนเนปาล คือ เมืองกบิลพัสดุ์ มีอักษรเมาริยะที่เก่าแก่จารึกบนผอบเก่าแก่ที่สุดในอินเดีย บอกว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า คือ ส่วนที่กษัตริย์ศากยราช ในกรุงกบิลพัสดุ์ได้รับแบ่งปันในเวลาที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ 
ขณะนั้นมาเครสเคอสันเป็นอุปราชครองอินเดียอยู่ แต่ก่อนเคยอยู่ที่กรุงเทพ ฯ มีความคุ้นเคยกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ปรารภว่า สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นพุทธศาสนูปถัมภกอยู่ในโลกเวลานั้น ก็มีแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระองค์เดียว จึงมีความประสงค์จะถวายพระบรมสารีริกธาตุนั้นแด่พระองค์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุมเปรียญ) แต่ครั้งยังเป็นพระยาสุขุมนัยวินิต เป็นผู้แทนกรุงสยามไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุนั้น และครั้งนั้น ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาในนานาประเทศ คือ ญี่ปุ่น พม่า ลังกา และประเทศไซบีเรีย เป็นต้น ต่างก็ได้ส่งทูตเข้ามาทูลขอพระบรมสารีริกธาตุ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานไปตามประสงค์ พระบรมสารีริกธาตุที่เหลือโปรดสร้างพระเจดีย์ทองสัมฤทธิ์เป็นที่บรรจุ แล้วโปรดให้ประกอบพระราชพิธีบรรจุในพระเจดีย์บนยอดพระบรมบรรพต และจัดงานเฉลิมฉลองเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน จนเกิดเป็นที่มาของการจัดงานประเพณีประจำปี “งานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ” หรืองานวัดภูเขาทอง ปรากฏอยู่ถึงปัจจุบัน 

 • สิ่งใดที่ตั้งใจแล้ว ปรารถนาแล้ว ให้นำความตั้งใจนั้น ความปรารถนานั้น ขึ้นไปอธิษฐานบนยอดภูเขาทอง จักสำเร็จสมมโนรถตามความปรารถนาทุกประการ •
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ 
เฟซบุ๊ก : วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
พระครูศรีพิสุทธิศาสตร์ : ๐๘๒-๙๕๙-๙๓๕๙
พระครูสิทธิสรกิจ : ๐๘๑-๘๕๐-๒๙๙๙
พระมหาฤทธิชัย ญาณิทฺธิโก : ๐๘๔-๖๓๕-๑๔๕๒

วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

Networking Dinner#เปิดเหนือพร้อมเที่ยวเชียงใหม่พร้อมแอ่ว

#เหนือพร้อมเที่ยวเชียงใหม่พร้อมแอ่ว
ผนวกกับ “แอ่วเหนือคนละครึ่ง”เพื่อก้าวเข้าสู่ #แอ่วเหนือหน้าหนาวwinterFestval ผนวกกับการเที่ยวข้ามภาคต่อไป
เมื่อวันอาทิตย์ที่  3 พฤศจิกายน 2567 เวลา 18.00 น.ที่ผ่านมา
ณ โอลด์เชียงใหม่ (Chiangmai Cultural Center) จังหวัดเชียงใหม่
นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมเป็นประธานในการเปิดกิจกรรม ส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว Networking Dinner#เปิดเหนือพร้อมเที่ยวเชียงใหม่พร้อมแอ่ว เพื่อก้าวเข้าสู่ #แอ่วเหนือหน้าหนาวwinterFestval ผนวกกับการเที่ยวข้ามภาค  ร่วมผนึกกำลังกับ 5 ภูมิภาค ประกอบด้วย นายสมชาย ชมภูน้อย  ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ ททท. / นางสาววรรณภา เกียรติพงษา ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคกลาง ททท. / นางสาวกนกกิตติกา กฤตย์วุฒิกร  ภูมิภาคภาคตะวันออก ททท. / นายอรรถพล วรรณกิจ ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ททท.และนางสาววัจนันท์ ศิลปวรณ์วิวัฒน์ ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคใต้ ททท. ร่วมกิจกรรม และภาคีพันธมิตรเครือข่ายธุรกิจท่องเที่ยว 
ทั้งนี้ กิจกรรมภายในงานมีการนำเสนอแนวทางการตลาด รวมถึงสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว ตลอดจน  Market Briefing ของ 4 ภูมิภาค คือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคอีสาน และภาคใต้ ให้กับผู้ประกอบการ จาก 5 ภูมิภาค  สื่อมวลชนที่เข้าร่วมกิจกรรม “เหนือพร้อมเที่ยวเชียงใหม่พร้อมแอ่ว” ซึ่งมีผู้ร่วมงานที่จังหวัดเชียงใหม่พร้อมแอ่ว กว่า 300 ราย ซึ่งจะเป็นการช่วยส่งเสริมกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวของภาคเหนือและจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสร้างกระแสการเดินทางท่องเที่ยวให้กลับมาอย่างคึกคักในฤดูการท่องเที่ยวนี้โดยเร็ว  และสามารถส่งเสริมการขาย สร้างเครือข่ายสำหรับการท่องเที่ยวข้ามภูมิภาคต่อไปอีกด้วย
▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2567

กรมทางหลวงชนบทเดินหน้าศึกษาเส้นทาง “บูรพาคีรี” เส้นทางเลียบชายเขาใหญ่ช่วงจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว


กรมทางหลวงชนบทเดินหน้าศึกษาเส้นทาง “บูรพาคีรี” เส้นทางเลียบชายเขาใหญ่ ช่วงจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว เพื่อสนับสนุนให้เกิดการขยายตัว
ด้านการท่องเที่ยว การค้า และการลงทุนในพื้นที่ 3 จังหวัด เพื่อนำไปสู่การสร้างงานและสร้างรายได้กับประชาชนทั้ง 3 จังหวัดอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี 
แผนพัฒนาจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว และแผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยวเขตพัฒนาการท่องเที่ยวผืนป่ามรดกโลก ดงพญาเย็น - เขาใหญ่ ทั้งนี้กรมทางหลวงชนบทอาจพัฒนาให้เป็นถนนเพื่อการท่องเที่ยวและเส้นทางชมทิวทัศน์ที่สำคัญและสวยงามแห่งหนึ่งของประเทศต่อไป
กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินศึกษาความเป็นไปได้ของเส้นทาง “บูรพาคีรี” ซึ่งเป็นเส้นทางเลียบชายเขาใหญ่ ช่วงจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว ผ่านอุทยานแห่งชาติที่สำคัญของประเทศไทย 3 แห่ง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
อุทยานแห่งชาติทับลาน และอุทยานแห่งชาติปางสีดา 
เพื่อยกระดับเส้นทางให้มีความสะดวก เชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมให้มีความสมบูรณ์ รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดการขยายตัวด้านการท่องเที่ยว การค้า และการลงทุนในพื้นที่ 3 จังหวัด นำไปสู่การสร้างงาน
และสร้างรายได้กับประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน ซึ่งสอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว และแผนพัฒนาการท่องเที่ยว ผืนป่ามรดกโลก ดงพญาเย็น - เขาใหญ่ กรมทางหลวงชนบทเน้นหนักเรื่องความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม 
การมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย และความคิดเห็นจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในจังหวัด ในเส้นทาง เพื่อทำให้เส้นทาง “บูรพาคีรี” เป็นถนนเพื่อการท่องเที่ยวและเส้นทางชมทิวทัศน์ที่สำคัญและสวยงามแห่งหนึ่งของประเทศไทย
▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️

วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2567

”พิชัย“ เปิด Bangkok Jewelry Week 2024 ปักหมุด Landmark กรุงเทพฯ บางรัก-สัมพันธ์วงศ์-พระนคร เป็นถนนท่องเที่ยวสายอัญมณีและเครื่องประดับไทย ต้อนรับผู้รักอัญมณีจากทั่วโลก

วันที่ 19 ตุลาคม 2567
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน Bangkok Jewelry Week 2024 (เส้นทางถนนสายอัญมณีและเครื่องประดับ) จัดโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ณ ลานมิ่งเมือง ชั้น 1 ศูนย์การค้าดิโอลด์สยาม พลาซ่า เป็นโครงการพัฒนาต่อยอดเครื่องประดับ เพื่อการท่องเที่ยวชุมชนเก่าแก่เชิงสร้างสรรค์บนถนนสายอัญมณีและเครื่องประดับในกรุงเทพมหานคร เริ่มตั้งแต่บางรัก สัมพันธ์วงศ์ และพระนคร ซึ่งถือได้ว่าเป็นชุมชนเก่าแก่และเป็นสัญลักษณ์ของการเติบโตของชุมชนเศรษฐกิจไทยมาอย่างยาวนาน เป็นแหล่งที่รวมพหุวัฒนธรรม และงานฝีมือ การผลิตอัญมณีและเครื่องประดับที่มีอัตลักษณ์ สร้างการจดจำ นำ Soft Power ท้องถิ่นให้ทั่วโลกได้เห็นมากยิ่งขึ้น

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การจัดงาน Bangkok Jewelry Week 2024 นับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งและเป็นก้าวแรกสร้าง Landmark แห่งใหม่ให้กับกรุงเทพมหานคร สร้าง“เส้นทางท่องเที่ยวสายอัญมณีและเครื่องประดับ: บางรัก สัมพันธ์วงศ์ พระนคร” ผลักดันให้กรุงเทพ และประเทศไทยเป็น “หมุดหมาย” ของผู้ที่รักอัญมณีและเครื่องประดับ ให้กับทุกคนที่คิดจะซื้ออัญมณีหรือเครื่องประดับต้องคิดถึงประเทศไทย และ ตรงมาที่ Landmark แห่งนี้ ซึ่งมั่นใจได้เลยว่าจะได้เครื่องประดับที่มีมาตรฐานอย่างแน่นอน ผ่านการรับรองจากสถาบัน GIT และการเป็นสมาชิกในโครงการเลือกซื้อด้วยความมั่นใจ (Buy With Confidence) 


นอกจากนี้ ยังได้เห็นความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ และเอกชนทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ เป็นพี่เลี้ยงหรือกูรูให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก และรายย่อย เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่ๆ และผู้ประกอบการจากภูมิภาคต่างๆ มาแสดงผลงานและจำหน่ายสินค้า ให้คนตัวใหญ่ช่วยคนตัวเล็ก เปิดโอกาสให้คนที่อยากจะมีแบรนด์เป็นของตัวเอง หรืออยากมีเครื่องประดับฝีมือตนเอง ได้เข้ามาทดลองผ่าน Workshop และนิทรรศการต่าง ๆ รวมถึงการเปิดให้เข้าชมโรงงานผลิตเครื่องประดับแบบ Exclusive เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในถนนสายอัญมณีและเครื่องประดับ บางรัก สัมพันธวงศ์ และพระนคร ผ่านการท่องเที่ยวที่มีทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติเข้าร่วมชมงานและเลือกซื้อสินค้าที่มีมาตรฐาน อีกทั้ง จะสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แปลกใหม่และน่าสนใจบนเส้นทางถนนสายอัญมณีและเครื่องประดับ ที่สร้างการรับรู้ด้านวัฒนธรรมและภูมิปัญญาความเป็น “Thailand: Land of Jewel” และช่วยให้ทุกภาคส่วนสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป

“ผมทำจิวเวอรี่มาก่อน ดีใจที่ธุรกิจนี้เติบโต เป็นธุรกิจที่คนซื้อดีใจคนขายก็ดีใจ เป็นธุรกิจที่ดี ทุกวันนี้ก็ยังติดตามราคาอัญมณีและทองอยู่เสมอ วันนี้ทองก็ยังมีแนวโน้มจะขึ้น เพราะคนมาถือทองมากขึ้น ยังมีโอกาส และสำหรับเพชรพลอยและเครื่องประดับตนเชื่อว่ายังสามารถโตได้  ซึ่งผมและกระทรวงพาณิชย์ จะส่งเสริมจิวเวอรี่ต่อไป ยินดีช่วยแก้ไขปัญหาให้ผู้ประกอบการอย่างเต็มที่ เพื่อให้สามารถส่งออกและขายได้ เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงและมีผู้เกี่ยวข้อง มีการจ้างงานเป็นจำนวนมาก สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้มาก” นายพิชัยกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงานฯ นายพิชัยได้มอบใบรับรองโครงการเลือกซื้อด้วยความมั่นใจ (Buy With Confidence) ให้กับผู้ประกอบการ จำนวน 25 ราย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับให้กับผู้บริโภคด้วย สำหรับงานเทศกาลเส้นทางการท่องเที่ยวถนนสายอัญมณีและเครื่องประดับ Bangkok Jewelry Week 2024 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-25 ตุลาคม 2567 พร้อมมีกิจกรรม Press Tour สถานที่ท่องเที่ยวและเยี่ยมชม Landmark ธุรกิจอัญและเครื่องประดับที่สำคัญในเขตบางรักและเขตสัมพันธวงศ์ด้วย สำหรับผู้สนใจ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fan page : Bangkok Jewelry Week


▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️


วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2567

สำนักพิมพ์ทุกราย! พร้อมใจนำหนังสือใหม่ ลดกระหน่ำ! กระตุ้นนักอ่าน ในงานมหกรรมหนังสือฯ พร้อมแจกไอเทมสุดพรีเมียม ฮิตสุด! หยิบฟรีไม่มีอั้น บุฟเฟ่ต์เต็มถุงราคา 699 บาท ห้ามพลาด! ตั้งแต่วันนี้ ถึง 20 ต.ค.นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ป่าช้าแตก! งานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 29 เดินทางถึงช่วงกลางของการจัดงาน แต่ยังแรงไม่แผ่ว ล่าสุด 855 บูธ รวมตัวกันลดราคา จากที่ลดอยู่แล้ว 20-80% ให้ถูกลงไปอีก 50% โดยเฉพาะหนังสือใหม่ที่ผลิตช่วงต้นปีนี้ พร้อมของแถม ของแจกจุใจ ไอเทมลับสุดพรีเมียม บอร์ดเกมลิขสิทธิ์แท้กว่าหมื่นเกมลดสูงสุด 60% กิจกรรมสุดฮิต!หยิบฟรีไม่อั้น บุฟเฟ่ต์เต็มถุงราคา 699 บาท นักอ่านทุบสถิติหยิบได้ 30 เล่มราคาเฉลี่ยถูกสุดๆ 23 บาทต่อเล่ม ด้านนายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ลั่นไม่มาถือว่าพลาด ห้ามบ่น! “เสียดาย

นายสุวิช รุ่งวัฒนไพบูลย์ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เปิดเผยว่า งาน “มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29” ซึ่งได้รับการสนับสนุนกิจกรรมจาก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม โดยการทำงานของอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมหนังสือ ภายใต้ THACCA ระหว่างวันที่
10-20 ตุลาคม 2567 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายใต้ธีม “อ่านโลกนี้ ยันโลกหน้า” เดินทางมาถึงช่วงกลางของการจัดงาน ซึ่งบรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความคึกคัก โดยเฉพาะสำนักพิมพ์ต่างๆ กว่า 286 แห่ง รวม 855 บูธ เริ่มแข่งขันจัดโปรโมชั่นพิเศษเพิ่มมากขึ้นจากที่เคยลดราคาหนังสืออยู่แล้วตั้งแต่
20-80% ให้ถูกลงไปอีก โดยเฉพาะหนังสือใหม่ที่เพิ่งผลิตเมื่อปีที่แล้ว หรือต้นปีนี้ นำมาลดราคาลงอีกมากกว่า 50% นอกจากนั้นยังมีโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 หรือ ซื้อ 3 แถม 2  และยังจูงใจด้วยของแถมเป็นคอลเลกชั่นพิเศษสุด
พรีเมียม ซึ่งผลิตขึ้นเฉพาะในงานนี้เท่านั้น ในรูปแบบที่ไม่ซ้ำกัน วันต่อวัน


“ ในช่วงต้นของงานมหกรรมหนังสือ สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ได้ขอความร่วมมือสำนักพิมพ์ทุกแห่งให้ลดราคาหนังสือลงเพื่อดึงดูดนักอ่านให้มาเลือกซื้อหนังสือคุณภาพราคาถูก ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาก แต่ขณะนี้เห็นสัญญาณการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงเกิดขึ้นอีกโดยที่สมาคมฯ ไม่ได้เข้าไปทำอะไรเลย ซึ่งบ่งชี้ว่าทุกสำนักพิมพ์ไม่ต้องการขนหนังสือกลับ จึงเป็นประโยชน์ต่อนักอ่านอย่างมากที่จะได้หนังสือดีมีคุณภาพในราคาถูกมากๆ จากหนังสือกว่า 2 ล้านเล่ม ซึ่งเป็นหนังสือปกใหม่ 3,000 เล่มในงาน ดังนั้นผู้ที่ยังลังเลไม่ได้มาร่วมงานจะต้องรู้สึกเสียดายอย่างมาก” นายสุวิช กล่าว


ทั้งนี้ จากการสำรวจภายในงานมหกรรมหนังสือ พบว่า ทุกสำนักพิมพ์วางจำหน่ายหนังสือทุกประเภทในราคา 100 บาท ขณะที่บางแห่งนำเสนอหนังสือราคาถูกมากเพียง 10 บาท หนังสือเล่มละ 25 บาท จัดโปรโมชั่นพิเศษ 5 เล่ม 100 บาท หนังสือราคา 35 บาท หรือ 3 เล่ม 100 บาท รวมทั้งโปรโมชั่นยิ่งซื้อ ยิ่งลด โดยซื้อครบ 500 บาท ลดเพิ่ม 50 บาท ซื้อครบ 1,200 บาท ลดเพิ่ม 200 บาท และซื้อครบ 2,500 บาทส่วนลดเพิ่ม 500 บาท เซตนิยายลดสูงสุด 70%


นอกจากนั้น โปรโมชั่นที่พบส่วนใหญ่ที่สำนักพิมพ์เกือบทุกแห่งลงมาทำการตลาด เช่น ซื้อหนังสือ 4 เล่ม ลดเพิ่มอีก 20% หนังสือ 7 เล่มลดเพิ่ม 25% และ 12 เล่ม ลดเพิ่ม 28% รวมทั้งการจัดกิจกรรมหยิบไม่อั้น บุฟเฟ่ต์เต็มถุงสุดฮิต ถุงหยิบเล็กราคา 199 บาท และหยิบใหญ่ 699 บาท ในเวลา 20 นาที ซึ่งมีหนังสือในหมวดนิยายทุกเนื้อหากว่า 30,000 เล่ม เช่น นิยายจีนแปลไทย นิยายผลงานนักเขียนไทย นิยายสืบสวนสอบสวนและนิยายบอยเลิฟ สลับสับเปลี่ยนไม่ซ้ำกัน วันต่อวัน นำมาให้ร่วมสนุกและสร้างสีสันภายในงาน ซึ่งจากสถิติการเข้าร่วมกิจกรรมนี้ มีนักอ่านหลายคนสามารถหยิบหนังสือได้สูงสุดถึง 30 เล่ม หรือเท่ากับว่าได้ครอบครองหนังสือในราคาเฉลี่ย 23 บาทต่อเล่ม


นอกจากนั้นหลายสำนักพิมพ์มีการจัดคอมโบเซ็ต หนังสือ 18 เล่มในราคา 2,100 บาท หรือเฉลี่ยเล่ม 117 บาทเท่านั้น

ขณะที่ของแจกของแถม อาทิ ซื้อหนังสือครบ 500 บาท รับฟรีที่คั่นหนังสือ ครบ 1,500 บาท ฟรีถุงผ้าหรือกระเป๋าช้อปปิ้ง และครบ 3,500 บาท รับฟรีกระเป๋าผ้าขนาดใหญ่ หรือเสื้อยืด บางสำนักพิมพ์จัดทำตุ๊กตามาเป็นไอเทมลับดึงดูดนักอ่าน ขณะที่สำนักพิมพ์หลายแห่งใช้การตลาดด้วยการเล่นกับใบเสร็จจากการซื้อหนังสือภายในงานสามารถนำมาของพรีเมียม  พร้อมกับบริการจัดส่งถึงบ้านด้วยบริการของไปรษณีย์ ในราคาเหมา  50 บาทโดยไม่ต้องชั่งน้ำหนัก

ในส่วนของคอเกม พลาดไม่ได้กับโปรโมชั่นบอร์ดเกมลิขสิทธิ์แท้แปลไทย ซึ่งมีมาให้เลือกตามความสนใจกว่า 10,000 เกม ในราคาสุดพิเศษ เช่น ซื้อบอร์ดเกม 1 กล่อง ลดเพิ่ม 15% ซื้อ 2 กล่องลดเพิ่ม 20% นอกจากนั้นยังมีการจัดเซตพิเศษในราคาลดตั้งแต่ 35-60% พร้อมทั้งจัดช่วงนาทีทอง ลดเพิ่มพิเศษอีก

นอกจากนั้นมีการจัดกิจกรรมพิเศษสำหรับผู้ที่ชอบความเสี่ยง เช่น กล่องสุ่ม ในราคาเพียง 350 บาท ลุ้นรับบอร์ดเกมส์มูลค่าสูงสุด 1,350 บาท ในขณะที่กล่องสุ่มราคา 999 บาท ลุ้นรับสูงสุด 4,090 บาท

ทั้งนี้ นักอ่านและผู้ที่สนใจ สามารถร่วมงาน “มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29” เริ่มตั้งแต่เวลา 10.00 - 21.00 น.ระหว่างวันนี้ถึง 20 ตุลาคม 2567  ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ Thai Book Fair

………………

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ประเพณีออกหว่า เทศกาลออกพรรษา อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน

11 ตุลาคม 2567 … นายบุญลือ ธรรมธรานุรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ว่าที่ร้อยตรีภาณุวัฒน์ ขัดนาค ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. สำนักงานแม่ฮ่องสอน ว่าที่ร้อยตรีพูนศักดิ์ ดีมั่น
นายกเทศมนตรีตำบลแม่สะเรียง และนายวรศักดิ์ พานทอง นายอำเภอแม่สะเรียง เข้าร่วมออกอากาศสด ในรายการ เช้านี้ที่ภาคเหนือ ช่อง NBT เวลา 08.00-09.00 น. เพื่อประชาสัมพันธ์งานประเพณีออกหว่า เทศกาลออกพรรษา อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยจังหวัดเชียงใหม่ 
ประเพณีออกหว่าเป็นงานประเพณีออกพรรษาของชาวไทใหญ่ที่สืบทอดมากว่า 600 ปี เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จกลับโลกมนุษย์หลังจากเสด็จโปรดพระมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในวันขึ้น 15 คํ่า เดือน 11 คำว่า “ออกหว่า” หมายถึง การออกจากฤดูฝน แต่ละบ้านจะจัดทำซุ้มราชวัตร หรือปราสาทรับเสด็จพระพุทธเจ้า ชาวไทใหญ่เรียกว่า “กยองเข่งปุด” โดยจะทำซุ้มประตูบ้านให้เป็นรูปปราสาท ประดับประดาด้วยโคมไฟหูกระต่าย ตกแต่งด้วยดอกไม้ ต้นกล้วย ต้นอ้อย ช่อตุง ประทีปโคมไฟ เปรียบเหมือนการต้อนรับพระพุทธเจ้าที่พระองค์เสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โดยแต่ละบ้านจะจัดทำซุ้มราชวัตรขนาดพอเหมาะหน้าบ้านก่อนงานออกหว่าอย่างน้อย 3-5 วัน และจะมีซุ้มราชวัตรศูนย์กลางที่ชุมชนร่วมกันจัดทำขึ้น ซึ่งจะจัดล่วงหน้าอย่างน้อยสองวัน คือก่อนวันขึ้น 14 คํ่า เดือน 11 ของทุกปี
โดยมีกิจกรรม แบ่งออกเป็น 3 มิติ ดังนี้
#มิติที่ 1 : การตักบาตรตอนตี 4 
พระสงฆ์ ประมาณ 200 รูป ในเช้าวันที่ 16 ตุลาคม 2567 ตักบาตรอาหารสุก และเช้าวันที่ 17-18 ตุลาคม 2567 ตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง การตักบาตรจะเริ่มตอนประมาณ 4.00 น. ไม่เหมือนกับตักบาตรเทโวทั่วไป พระสงฆ์จะรับบิณฑบาตรตามถนนสายต่างๆ ในเขตเทศบาลตำบลแม่สะเรียง พี่น้องชาวอำเภอแม่สะเรียง จะประดับราชวัตร ประทีป โคมไฟ ตามถนน โดยมีความเชื่อว่าเป็นการตักบาตรกับพระอุปคุตในคราวเดียวกัน

#มิติที่ 2 : กิจกรรมรื่นเริง ณ ลานวัฒนธรรม จัดขึ้น 2 แห่ง 
✨ กิจกรรมลานวัฒนธรรม ณ ลานวัฒนธรรมวัดอุทยารมณ์ (วัดจองสูง)
พบกับนิทรรศการมีชีวิตต่างๆ ทางด้านวัฒธรรมของชาวอำเภอแม่สะเรียง อาหารท้องถิ่น การแต่งกาย การแสดง โดยลานวัฒนธรรม มีกิจกรรม 2 วัน ในวันที่ 16-17 ตุลาคม 2567 โดยมีกิจกรรมสำคัญดังนี้ 
16 ตุลาคม 2567 : 18.00 น. พิธีเปิดงานประเพณีสืบฮีต สานฮอย ย้อนรอยออกหว่าและวิถีชนเผ่า 
17 ตุลาคม 2567 : 18.00 น. กาดหมั้ว ครัวฮอม 

✨ กิจกรรมงานรื่นเริง ณ เวทีกลาง หน้าสถานีตำรวจภูธรแม่สะเรียง 
พบกับการแสดงรื่นเริง ตลอด 3 คืน ในวันที่ 16-18 ตุลาคม 2567 โดยมีกิจกรรมสำคัญดังนี้ 
16 ตุลาคม 2567 : 19.00 น. การแสดงจากโรงเรียนต่าง ๆ และการประกวดรำนก รำโต
17 ตุลาคม 2567 : 18.00 น. พิธีเปิดงานประเพณีออกหว่า เทศกาลออกพรรษาอำเภอแม่สะเรียง
การแสดงพิธีเปิด สุดตระการตา สมการรอคอย โดย อ.อัครัช สิปปนันท์ และพบกับ “ครูเต้ย” ศิลปินที่มีชื่อเสียง 
18 ตุลาคม 2567 : 20.00 น. การประกวดธิดาออกหว่า 

#มิติที่ 3 : ขบวนแห่เทียนเหง 
ในค่ำคืนวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. สัมผัสขบวนแห่เทียนเหง (เทียนพันเล่ม) กว่า 20 ขบวน มีการสอดแทรกเรื่องราวของงานประเพณีออกหว่า เทศกาลออกพรรษา ให้สามารถสัมผัสได้อย่างใกล้ชิด 

นอกจากนี้ ในวันที่ 19 ตุลาคม 2567 ได้จัดให้มีงานวิ่ง “กว่า แหล่ โกม ครั้งที่ 3” ณ ลานหน้าที่ว่าทำการอำเภอแม่สะเรียง โดยกิจกรรมเริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป มีระยะทาง 5 กิโลเมตร และระยะทาง 10 กิโลเมตร ตามลำดับ 
#DoisterStyle #TATMaehongson #AmazingThailand 
#เทศบาลตำบลแม่สะเรียง #ออกหว่าแม่สะเรียง
#ออกหว่า #ออกหว่า2567 #กว่าแหล่โกมครั้งที่3
ขอขอบคุณ
สถานีโทรทัศน์ NBT เชียงใหม่ 
นายบุญลือ ธรรมธรานุรักษ์ รอง ผวจ.แม่ฮ่องสอน
ท่านนายอำเภอแม่สะเรียง 
เทศบ่ลตำบลแม่สะเรียง
นายก้ทศมนตรีตำบลแม่สะเรียง 
ทุก ๆ ท่าน

สุดคึกคัก! มหกรรมหนังสือฯ ครั้งที่ 29 กระแสแรงเกินคาด นักเขียนดังนานาชาติ ตบเท้าร่วมงานคับคั่ง ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

มหกรรมหนังสือฯ ครั้งที่ 29 วันที่สอง บรรยายกาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีนักอ่านทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้าร่วมงานอย่างเนืองแน่น นอกจากนั้นยังได้รับการตอบรับจากนักเขียนดังต่างชาติแห่ร่วมงานพบปะนักอ่านไทย องค์กรเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ส่ง 3 นักเขียนดังชาวไต้หวันแชร์ประสบการณ์เชิงลึก-เปิดเวทีเวิร์กชอปกับนักเขียนไทย พร้อมเปิดตัวหนังสือใหม่ถอดด้าม 2 เรื่องเอาใจคอสยองขวัญไทย
มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 ซึ่งได้รับการสนับสนุนกิจกรรมจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม โดยการทำงานของอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมหนังสือ ภายใต้ THACCA ร่วมจัดงานจัดภายใต้ธีม “อ่านกันยันโลกหน้า” ได้รับกระแสตอบรับจากกลุ่มนักอ่านทั้งไทยและต่างประเทศเข้ามาเลือกซื้อหนังสือซึ่งมีมากกว่า 2 ล้านเล่ม จาก 286 สำนักพิมพ์ รวม 855 บูธ นอกจากนั้นยังมีนิทรรศการและกิจกรรม 100 กิจกรรมให้ร่วมสนุก พร้อมกระทบไหล่นักเขียนดังในดวงใจ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 20 ตุลาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
น.ส.ดวงพร สุทธิสมบูรณ์ อุปนายกฝ่ายต่างประเทศ สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เปิดเผยว่า มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 ได้รับเกียรติจากองค์กรเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย นำนักเขียนชื่อดังจากไต้หวันเข้าร่วมงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 ในกิจกรรม “Read Taiwan in Thai ประจำปี 2567” จำนวน 3 คน คือ เซียวเซียงเสิน และเซวียซีซื่อ เจ้าของผลงานหนังสือที่ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์แปลเป็นไทยเรื่อง “ปริศนาตะเกียบอาถรรพ์” และเฉินซื่อหง เจ้าของผลงาน “โกสต์ทาวน์” มาแบ่งปันประสบการณ์การทำงานและเปิดตัวหนังสือดังกล่าว และร่วมกิจกรรมเวิร์กชอปเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างนักเขียนไต้หวันและไทย
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวนอกเหนือจากการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างไต้หวันและไทยแล้ว ยังเป็นโอกาสที่ดีต่อผู้อ่านชาวไทยได้สัมผัสกับเรื่องราวหนังสือจากไต้หวันที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณและความลึกลับ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมร่วมกันของทั้งสองประเทศ เรื่องราวเกี่ยวกับความรัก ความผูกพัน ความตาย และความหวาดกลัว เหล่านี้เป็นประสบการณ์สากลของมนุษย์ ซึ่งเชื่อว่าผู้อ่านชาวไทยจะต้องประทับใจและเข้าถึงได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งนี้ในช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา PUBAT ได้นำนักเขียนและนักวาดภาพประกอบหนังสือชาวไทยไปพบปะผู้อ่านชาวไต้หวันในลักษณะเดียวกันนี้ในงานไต้หวันบุ๊คแฟร์ ซึ่งก็ได้ผลตอบรับที่ดีอย่างมาก และในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568 มีแผนที่จะดำเนินการในลักษณะเช่นนี้อีกโดยจะนำนักเขียนและนักวาดภาพประกอบจำนวน 3 คนเข้าร่วมงาน
น.ส.ดวงพร กล่าวว่า ผลงานนักเขียนและนักวาดภาพประกอบหนังสือไทยได้รับความนิยมมากจากนักอ่านไต้หวันอย่างมาก ส่งผลให้ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้มูลค่าการซื้อขายหนังสือไทย-ไต้หวันและไต้หวัน-ไทยสูงถึง 360 ล้านบาทและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 400 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ ใกล้เคียงกับปี 2566 ที่มีมูลค่า 400 ล้านบาท โดยไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้า ทั้งนี้ นักอ่านไต้หวันให้ความนิยมมากในงานหนังสือของนักเขียนไทยประเภทนิยายวาย ทั้งบอยเลิฟและเกิร์ลเลิฟ หนังสือภาพสำหรับเด็ก กลับกันนักอ่านไทยนิยมหนังสือเนื้อหาประเภทภูตผีจากไต้หวัน

 “งานเขียนจากไต้หวันในตลาดไทยเริ่มอิ่มตัวเพราะมีการซื้อลิขสิทธิ์มาแปลมากว่า 10 ปีแล้ว แต่ตอนนี้ไทยเข้าไปทำตลาดในไต้หวันมากขึ้นทำ โดย PUBAT ได้นำนักเขียนและนักวาดภาพประกอบไปร่วมงาน ไต้หวันบุ๊คแฟร์ปีที่ผ่านมาก็ได้รับความสนใจอย่างมากจนแถวยาวออกนอกงาน” น.ส.ดวงพร กล่าว

นอกจากนี้ภายในงาน สำนักพิมพ์ต่างๆ ยังเตรียมจัดโปรโมชั่นสุดพิเศษมากมาย อาทิ หนังสือปกใหม่ราคาพิเศษ, ลดราคาตั้งแต่ 20-80%, โปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1, ซื้อ 2 แถม 1, พร้อมลด แลก แจก แถม คอลเลคชั่นพิเศษสำหรับนักสะสม พร้อมกับบริการจัดส่งไปรษณีย์ ในราคาพิเศษ ภายในงานอีกด้วย  
สำหรับงาน “มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29” เริ่มตั้งแต่เวลา 10.00 - 21.00 น. 10-20 ตุลาคม 2567 
ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 

สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ Thai Book Fair