วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

เนสกาแฟตอกย้ำเจตนารมณ์ในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้วงการกาแฟไทย

เนสกาแฟตอกย้ำเจตนารมณ์ในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้วงการกาแฟไทย เดินหน้าเสริมแกร่งธุรกิจเนสกาแฟผ่านการนำเสนอภาพลักษณ์แบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจ ควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด และส่งเสริมการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน แม้ว่าตลาดกาแฟในประเทศไทยจะเติบโตขึ้นในไตรมาสแรกปีนี้ พร้อมความต้องการบริโภคกาแฟที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ปริมาณผลผลิตเมล็ดกาแฟในประเทศกลับลดลง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ทำให้จำเป็นต้องมีการนำเข้าเมล็ดกาแฟเพิ่มมากขึ้น ในฐานะผู้นำตลาด เนสกาแฟจะเดินหน้าสร้างธุรกิจกาแฟให้แข็งแกร่ง เพื่อตอบโจทย์คอกาแฟไทยให้ดียิ่งขึ้นและผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมกาแฟไทย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยจะมีผลผลิตเมล็ดกาแฟคุณภาพสูงในระยะยาว
ผลผลิตเมล็ดกาแฟในประเทศไทยเผชิญความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ส่งผลให้มีความต้องการนำเข้าเมล็ดกาแฟเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผลผลิตเมล็ดกาแฟในระดับโลกก็มีปริมาณลดลงเช่นเดียวกัน โดยมีการคาดการณ์ว่า ผลผลิตเมล็ดกาแฟทั่วโลกอาจลดลงถึง 50% ภายในปี พ.ศ. 2593 ทำให้การขับเคลื่อนการเกษตรเชิงฟื้นฟูทวีความสำคัญยิ่งกว่าที่เคย 
นายโจโจ้ เดลา ครูซ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า "ในฐานะผู้นำตลาดกาแฟ เนสกาแฟจะสานต่อบทบาทสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับวงการกาแฟไทย เรามุ่งมั่นที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเนสกาแฟ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวไทยให้ดียิ่งขึ้น และผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมกาแฟไทย ควบคู่ไปกับการพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีผลผลิตเมล็ดกาแฟในระยะยาวที่เพียงพอ เพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภค เกษตรกรที่เราทำงานเคียงข้าง รวมถึงพันธมิตร คู่ค้า และประเทศไทยโดยรวม"


ด้วยความมุ่งมั่นดังกล่าว กลยุทธ์ของเนสกาแฟในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จะมุ่งเน้นไปที่ 3 ด้านหลัก ซึ่งสามารถสรุปได้เป็นกลยุทธ์ “NES” ได้แก่ N: NESCAFÉ Brand การพัฒนาเนสกาแฟให้เป็นแบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่า E: Experience มอบประสบการณ์การดื่มด่ำกาแฟสุดพิเศษ ผ่านนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่ปรับสูตรใหม่ และ S: Sustainability การให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์


ทั้งนี้ เนสกาแฟจะมุ่งพัฒนาการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืน ผ่านการเกษตรเชิงฟื้นฟู หรือ Regenerative Agriculture ภายใต้โครงการ “เนสกาแฟ แพลน 2030” ซึ่งเป็นโครงการด้านความยั่งยืนระดับโลกของเนสกาแฟ การเกษตรเชิงฟื้นฟูจะช่วยให้เกษตรกรพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของเมล็ดกาแฟ รวมทั้งปกป้องและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรธรรมชาติ

นายโจโจ้ กล่าวต่อไปว่า "ผมมีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่า ความทุ่มเทของเราในการขับเคลื่อนการเกษตรเชิงฟื้นฟูทำให้เนสกาแฟเป็นแบรนด์ที่มีการปลูกและจัดหาเมล็ดกาแฟอย่างยั่งยืน (Responsible Sourcing) 100% ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน 4C (Common Code for the Coffee Community) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ในระดับโลก เพื่อการันตีว่าเมล็ดกาแฟของเราปลูกขึ้นตามมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับโลก ทำให้เราสามารถนำเสนอกาแฟคุณภาพสู่ผู้บริโภคชาวไทย"


นอกจากนี้ เนสกาแฟยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการรับซื้อเมล็ดกาแฟโรบัสต้าโดยตรงจากเกษตรกรในราคาที่เป็นธรรม โดยอิงจากราคากาแฟในตลาดโลก เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรและสร้างความเชื่อมั่นว่าผลผลิตของพวกเขาจะมีตลาดรับซื้อที่ไว้วางใจได้

มุ่งส่งเสริมการปลูกกาแฟยั่งยืน ชูการเกษตรเชิงฟื้นฟู ควบคู่การสนับสนุนเกษตรกรไทยทุกมิติ


นายทาธฤษ กุณาศล ผู้จัดการฝ่ายบริการการเกษตร บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปัจจุบัน ภาวะโลกเดือดส่งผลให้พื้นที่เกษตรกรรมที่เหมาะสำหรับการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ลดลงเหลือเพียง 1 ใน 3 ของพื้นที่เดิม เนื่องจากดินเสื่อมโทรมและสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ผลผลิตกาแฟของประเทศลดลงอย่างมาก”

“นอกจากการขับเคลื่อนการเกษตรเชิงฟื้นฟู เนสท์เล่ยังให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรในการให้ความรู้และการสนับสนุนด้านเทคนิคในการทำสวนกาแฟอย่างยั่งยืน รวมไปถึงการผนึกความร่วมมือกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน ประจำประเทศไทย หรือ GIZ ในการจัดทำหลักสูตร Farmer Business School ส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟให้มีแนวคิดของผู้ประกอบการเกษตรกรรม นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังให้การสนับสนุนโครงการประกวดสุดยอดกาแฟไทย เพื่อส่งเสริมการใช้การเกษตรเชิงฟื้นฟูในสวนกาแฟให้มากขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาต้นกล้ากาแฟที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกในประเทศไทย และได้กระจายต้นกล้ากาแฟพันธุ์ดีเหล่านี้ให้กับเกษตรกรมาแล้วเกือบ 4 ล้านต้น” นายทาธฤษ กล่าวเสริม

นายสุดใจ คำยอด เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟจากจังหวัดชุมพร กล่าวว่า “ปลูกกาแฟมาเกือบ 40 ปี มีช่วงเวลาที่เคยท้อแท้จากผลผลิตที่น้อยลงและไม่ได้คุณภาพ จนทางเนสท์เล่ได้ส่งนักวิชาการเกษตรมาช่วยเหลือและให้คำแนะนำในการปลูกกาแฟแทบจะทุกด้าน รวมทั้งหลักการเกษตรเชิงฟื้นฟู จนผลผลิตกลับมาดีขึ้น ถ้าไม่มีเนสท์เล่ในวันนั้น ตอนนี้ชุมพรอาจไม่มีกาแฟเหลือแล้ว เดี๋ยวนี้โลกร้อนขึ้นด้วย อากาศร้อนมาก แล้งด้วย น้ำไม่พอใช้ กาแฟได้น้ำไม่พอ ทำให้สัดส่วนผลผลิตที่จะได้เพิ่มขึ้นมีปริมาณลดลง แต่สวนของเราใช้แนวทางของเนสท์เล่ ก็ได้รับผลกระทบน้อยกว่าคนอื่น ๆ เรียกได้ว่าเนสท์เล่ได้เข้ามามีส่วนช่วยทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างยั่งยืน จึงอยากเชิญชวนเกษตรกรให้หันมาใช้หลักการเกษตรเชิงฟื้นฟูเพื่อผลผลิตที่ดีอย่างยั่งยืน”


“นอกจากการเกษตรเชิงฟื้นฟู เนสท์เล่ยังสอนเทคนิคการเสียบยอดเพื่อให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม 3-4 เท่า ส่วนต้นกล้าที่ได้รับจากเนสท์เล่ก็ให้ผลผลิตที่ดี เมล็ดใหญ่ และทนแล้ง รวมทั้งยังมาช่วยวิเคราะห์สภาพดิน เพื่อใส่ปุ๋ยให้เหมาะสม” นายสุดใจกล่าวเสริม

ล่าสุด เนสท์เล่ได้ส่งเสริมการเลี้ยงผึ้งในสวนกาแฟ เพื่อช่วยผสมเกสร ซึ่งการเลี้ยงผึ้งในสวนก็เป็นเครื่องชี้วัดได้ว่าสวนนั้น ๆ ไม่มีการใช้สารเคมี อย่างสวนกาแฟของนายสุดใจก็มีการเลี้ยงผึ้งด้วยเช่นกัน ซึ่งแสดงถึงความสมบูรณ์ทางชีวภาพอีกด้วย

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

สมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกั บมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดกิจกรรม "ปั่นเพื่อน้อง กรุงเทพฯ–เชียงใหม่" ครั้งที่ ๗

16 กรกฎาคม 67 สมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในนามตัวแทน
สมาคม/ชมรมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จังหวัดอยุธยา จังหวัดลพบุรี จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดชัยนาท
จังหวัดอุทัยธานี จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดพิจิตร จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดสุโขทัย จังหวัดตาก และจังหวัดลำปางร่วมกันแถลงข่าวการจัดกิจกรรม ปั่นเพื่อน้อง กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ ครั้งที่ ๗ “ครบรอบ ๖๐ ปี มช. ปั่นปิ๊กบ้านกั๋น” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองวาระมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ครบรอบ ๖๐ ปี
และเพื่อหารายได้เป็นทุนการศึกษาแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ อีกทั้งยังเป็นการ รณรงค์ให้นักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่และประชาชนทั่วไป ได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการออกกำลัง กายเพื่อสร้างความแข็งแรงแก่สุขภาพกายและเพื่อร่วมแสดงน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ โดยกิจกรรม ปั่นเพื่อน้อง
กรุงเทพ - เชียงใหม่ ครั้งที่ 7 ในปีนี้ ยังคงมีนักปั่นจักรยานที่เป็นนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และบุคคล
ทั่วไปที่สนใจร่วมเป็นนักปั่นจิตอาสา ร่วมขบวนจำนวน ๖๐ คน โดยเส้นทางปั่นเริ่มต้นขบวนปั่นในวันเสาร์ที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ จาก โตโยต้า บัส สาขาวิ ภาวดี จนสิ้นสุดที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ เป็นระยะทางประมาณ ๘๐๐ กิโลเมตร รวมระยะเวลาปั่นจักรยาน ๕ คืน ๖ วัน 
 ทางด้านนายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ ประธานคณะกรรมการดำเนิ นโครงการ “ปั่นเพื่อน้องกรุงเทพฯ–เชียงใหม่ ” กล่าวว่าโครงการจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2560 จัดมาแล้วรวม 6 ครั้ง สามารถะดม
เงิน ได้รวมกว่า 14 ล้านบาท สำหรับปีนี้ขบวนนักปั่น จะปั่นผ่ าน จ.อยุธยา จ.ลพบุรี จ.สิงห์บุรี ชัยนำท อุทัยธานี จ.นครสวรรค์ จ.พิจิตร จ.พิษณุโลก จ.สุโขทัย จ.ตาก จ.ลำปาง จนถึง จ.เชียงใหม่ และสิ้นสุดขบวน ณ ศาลธรรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในวันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2567 รวมระยะทางปั่น 801 กิโลเมตร
 ส่วนนายสุมิตร เพชราภิรัชต์ นายกสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ขอเป็นตัวแทนสมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทุกคณะ กล่าวว่า หลังจากขบวนนักปั่นถึงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เรียบร้อยแล้ว สมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ขอเชิญชวนนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทุกท่านร่วมเฉลิมฉลองวาระ ครบรอบ 60 ปี ของมหาวิทยาลัย และร่วมพบปะสังสรรค์นักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อรำลึกถึงความทรงจำอันแสนอบอุ่นในรั้วมหาวิทยาลัย และสร้างความสัมพันธ์ อันแน่นแฟ้นระหว่างนักศึกษา
เก่าทุกๆ คณะด้วยกันในงาน “รียูเนี่ยนครบรอบ 60 ปีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ” ในวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ทางด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ปิติพงศ์ ยอดมงคล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในส่วนภูมิภาค ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2508 นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มหาวิทยาลัยจึงได้
กำหนดให้ วันที่ 24 มกราคมของทุกปี เป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยในปี 2567 นี้ มหาวิทยาลัยได้
ดำเนินงานผลิตบัณฑิต​คุณภาพและสร้างสรรค์ประโยชน์ต่อชุมชนและสังคมมาครบ 60 ปี

กิจกรรมปั่นเพื่อน้อง กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ ครั้งที่ 7 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด "ครบรอบ 60 ปี มช. ปั่นปิ๊กบ้านกั๋น” ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองวาระสำคัญ ในการครบรอบ 60 ปีในการสถาปนามหาวิทยาลัยเชียงใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งในการประกาศพันธกิจอันยิ่งใหญ่ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่พร้อมก้าวสู่ทศวรรษที่ 7 ของการเป็นมหาวิทยาลัยแห่งนวัตกรรม ที่มีความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก เป็น “มหาวิทยาลัยชั้นนำที่รับผิดชอบต่อสังคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วยนวัตกรรม” อย่างเต็มภาคภูมิ

ขอเชิญชวนพี่น้องศิษย์เก่าลูกช้าง มช.ทุกท่าน รวมถึงพี่น้องประชาชนผู้รักการออกกำลังกาย ประชาชนที่มีจิตเป็นกุศลทุกท่าน มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนกิจกรรม โดยการสมัครเป็นนักปั่น หรือซื้อเสื้อและกางเกงช้างที่ระลึก งาน “ปั่นเพื่อน้องครั้งที่ 7” หรือการสนับสนุนเงินเพื่อสมทบเป็นทุนกำรศึกษา รวมถึงการเป็นกำลังใจเมื่อขบวนจักรยานปั่นผ่านจังหวัดต่างๆ ด้วยการแอดไลน์ ตามช่องทางไลน์ที่ปรากฏตามภาพ หรือ
หมายเลขโทรศัพท์ 053 216 227 หรือ Facebook.com/CMUAAOFFICIAL
▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️


วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

"พลับพลากลางน้ำ" ณ #อ่างเก็บน้ำเขาเต่า อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

"พลับพลากลางน้ำ" อ่างเก็บน้ำเขาเต่า อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์


สมาชิกชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว (ช.ส.ท.) นำโดยคุณวรางคณา สุเมธวัน ประธาน ช.ส.ท. ชมวิวอ่างเก็บน้ำเขาเต่า ซึ่งเป็นโครงการชลประทานอันเนื่องมาจากพระราชดำริแห่งแรก ไฮไลต์คือ "พลับพลากลางน้ำ" อันสวยงามที่จำลองแบบมาจากพระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ พลับพลาในถ้ำพระยานคร Unseen Thailand อันเลื่องชื่อของประจวบคีรีขันธ์



หนึ่งในทริป “สุขทันทีที่เที่ยวกับรถไฟไทย เดินทางครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม” เส้นทาง "หาดสวยฟ้าใส สวนสนประดิพัทธ์" จ.ประจวบคีรีขันธ์ ระหว่างวันที่ 13-14 กรกฎาคม 2567 ด้วยขบวนรถไฟ KIHA 183  



จัดโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และหน่วยงานพันธมิตรภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด บริษัท เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ (ประเทศไทย) และบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เพื่อเปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ทางรถไฟ “สุขทันทีที่เที่ยวกับรถไฟไทย เดินทางครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม” ส่งมอบประสบการณ์เดินทางท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ผ่านการเดินทางโดยรถไฟ ที่มีความสะดวกสบาย ความปลอดภัย ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2567 

สำหรับผู้ที่สนใจโปรแกรมท่องเที่ยวทางรถไฟ ยังมีทริปที่น่าสนใจอีกมากมาย สามารถซื้อตั๋วได้ที่สถานีรถไฟทั่วประเทศหรือผ่านระบบออนไลน์ D-ticket ของการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย 1690


🌐ดาวน์โหลดโปรแกรม “สุขทันทีที่เที่ยวกับรถไฟไทย เดินทางครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม” แบบ 📚E - book ที่ https://online.fliphtml5.com/ctvfc/usod/

#สุขทันทีที่เที่ยวกับรถไฟไทย
#ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว 
#ประจวบคีรีจันธ์
#ตะลอนไปทั่ว