วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2567

กรมทางหลวงชนบทเดินหน้าศึกษาเส้นทาง “บูรพาคีรี” เส้นทางเลียบชายเขาใหญ่ช่วงจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว


กรมทางหลวงชนบทเดินหน้าศึกษาเส้นทาง “บูรพาคีรี” เส้นทางเลียบชายเขาใหญ่ ช่วงจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว เพื่อสนับสนุนให้เกิดการขยายตัว
ด้านการท่องเที่ยว การค้า และการลงทุนในพื้นที่ 3 จังหวัด เพื่อนำไปสู่การสร้างงานและสร้างรายได้กับประชาชนทั้ง 3 จังหวัดอย่างยั่งยืน ซึ่งสอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี 
แผนพัฒนาจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว และแผนปฏิบัติการพัฒนาการท่องเที่ยวเขตพัฒนาการท่องเที่ยวผืนป่ามรดกโลก ดงพญาเย็น - เขาใหญ่ ทั้งนี้กรมทางหลวงชนบทอาจพัฒนาให้เป็นถนนเพื่อการท่องเที่ยวและเส้นทางชมทิวทัศน์ที่สำคัญและสวยงามแห่งหนึ่งของประเทศต่อไป
กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินศึกษาความเป็นไปได้ของเส้นทาง “บูรพาคีรี” ซึ่งเป็นเส้นทางเลียบชายเขาใหญ่ ช่วงจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว ผ่านอุทยานแห่งชาติที่สำคัญของประเทศไทย 3 แห่ง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
อุทยานแห่งชาติทับลาน และอุทยานแห่งชาติปางสีดา 
เพื่อยกระดับเส้นทางให้มีความสะดวก เชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมให้มีความสมบูรณ์ รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดการขยายตัวด้านการท่องเที่ยว การค้า และการลงทุนในพื้นที่ 3 จังหวัด นำไปสู่การสร้างงาน
และสร้างรายได้กับประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน ซึ่งสอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว และแผนพัฒนาการท่องเที่ยว ผืนป่ามรดกโลก ดงพญาเย็น - เขาใหญ่ กรมทางหลวงชนบทเน้นหนักเรื่องความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม 
การมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย และความคิดเห็นจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในจังหวัด ในเส้นทาง เพื่อทำให้เส้นทาง “บูรพาคีรี” เป็นถนนเพื่อการท่องเที่ยวและเส้นทางชมทิวทัศน์ที่สำคัญและสวยงามแห่งหนึ่งของประเทศไทย
▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️

วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2567

”พิชัย“ เปิด Bangkok Jewelry Week 2024 ปักหมุด Landmark กรุงเทพฯ บางรัก-สัมพันธ์วงศ์-พระนคร เป็นถนนท่องเที่ยวสายอัญมณีและเครื่องประดับไทย ต้อนรับผู้รักอัญมณีจากทั่วโลก

วันที่ 19 ตุลาคม 2567
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน Bangkok Jewelry Week 2024 (เส้นทางถนนสายอัญมณีและเครื่องประดับ) จัดโดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ณ ลานมิ่งเมือง ชั้น 1 ศูนย์การค้าดิโอลด์สยาม พลาซ่า เป็นโครงการพัฒนาต่อยอดเครื่องประดับ เพื่อการท่องเที่ยวชุมชนเก่าแก่เชิงสร้างสรรค์บนถนนสายอัญมณีและเครื่องประดับในกรุงเทพมหานคร เริ่มตั้งแต่บางรัก สัมพันธ์วงศ์ และพระนคร ซึ่งถือได้ว่าเป็นชุมชนเก่าแก่และเป็นสัญลักษณ์ของการเติบโตของชุมชนเศรษฐกิจไทยมาอย่างยาวนาน เป็นแหล่งที่รวมพหุวัฒนธรรม และงานฝีมือ การผลิตอัญมณีและเครื่องประดับที่มีอัตลักษณ์ สร้างการจดจำ นำ Soft Power ท้องถิ่นให้ทั่วโลกได้เห็นมากยิ่งขึ้น

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การจัดงาน Bangkok Jewelry Week 2024 นับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งและเป็นก้าวแรกสร้าง Landmark แห่งใหม่ให้กับกรุงเทพมหานคร สร้าง“เส้นทางท่องเที่ยวสายอัญมณีและเครื่องประดับ: บางรัก สัมพันธ์วงศ์ พระนคร” ผลักดันให้กรุงเทพ และประเทศไทยเป็น “หมุดหมาย” ของผู้ที่รักอัญมณีและเครื่องประดับ ให้กับทุกคนที่คิดจะซื้ออัญมณีหรือเครื่องประดับต้องคิดถึงประเทศไทย และ ตรงมาที่ Landmark แห่งนี้ ซึ่งมั่นใจได้เลยว่าจะได้เครื่องประดับที่มีมาตรฐานอย่างแน่นอน ผ่านการรับรองจากสถาบัน GIT และการเป็นสมาชิกในโครงการเลือกซื้อด้วยความมั่นใจ (Buy With Confidence) 


นอกจากนี้ ยังได้เห็นความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ และเอกชนทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ เป็นพี่เลี้ยงหรือกูรูให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก และรายย่อย เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่ๆ และผู้ประกอบการจากภูมิภาคต่างๆ มาแสดงผลงานและจำหน่ายสินค้า ให้คนตัวใหญ่ช่วยคนตัวเล็ก เปิดโอกาสให้คนที่อยากจะมีแบรนด์เป็นของตัวเอง หรืออยากมีเครื่องประดับฝีมือตนเอง ได้เข้ามาทดลองผ่าน Workshop และนิทรรศการต่าง ๆ รวมถึงการเปิดให้เข้าชมโรงงานผลิตเครื่องประดับแบบ Exclusive เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในถนนสายอัญมณีและเครื่องประดับ บางรัก สัมพันธวงศ์ และพระนคร ผ่านการท่องเที่ยวที่มีทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติเข้าร่วมชมงานและเลือกซื้อสินค้าที่มีมาตรฐาน อีกทั้ง จะสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แปลกใหม่และน่าสนใจบนเส้นทางถนนสายอัญมณีและเครื่องประดับ ที่สร้างการรับรู้ด้านวัฒนธรรมและภูมิปัญญาความเป็น “Thailand: Land of Jewel” และช่วยให้ทุกภาคส่วนสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป

“ผมทำจิวเวอรี่มาก่อน ดีใจที่ธุรกิจนี้เติบโต เป็นธุรกิจที่คนซื้อดีใจคนขายก็ดีใจ เป็นธุรกิจที่ดี ทุกวันนี้ก็ยังติดตามราคาอัญมณีและทองอยู่เสมอ วันนี้ทองก็ยังมีแนวโน้มจะขึ้น เพราะคนมาถือทองมากขึ้น ยังมีโอกาส และสำหรับเพชรพลอยและเครื่องประดับตนเชื่อว่ายังสามารถโตได้  ซึ่งผมและกระทรวงพาณิชย์ จะส่งเสริมจิวเวอรี่ต่อไป ยินดีช่วยแก้ไขปัญหาให้ผู้ประกอบการอย่างเต็มที่ เพื่อให้สามารถส่งออกและขายได้ เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงและมีผู้เกี่ยวข้อง มีการจ้างงานเป็นจำนวนมาก สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้มาก” นายพิชัยกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงานฯ นายพิชัยได้มอบใบรับรองโครงการเลือกซื้อด้วยความมั่นใจ (Buy With Confidence) ให้กับผู้ประกอบการ จำนวน 25 ราย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับให้กับผู้บริโภคด้วย สำหรับงานเทศกาลเส้นทางการท่องเที่ยวถนนสายอัญมณีและเครื่องประดับ Bangkok Jewelry Week 2024 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-25 ตุลาคม 2567 พร้อมมีกิจกรรม Press Tour สถานที่ท่องเที่ยวและเยี่ยมชม Landmark ธุรกิจอัญและเครื่องประดับที่สำคัญในเขตบางรักและเขตสัมพันธวงศ์ด้วย สำหรับผู้สนใจ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fan page : Bangkok Jewelry Week


▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️


วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2567

สำนักพิมพ์ทุกราย! พร้อมใจนำหนังสือใหม่ ลดกระหน่ำ! กระตุ้นนักอ่าน ในงานมหกรรมหนังสือฯ พร้อมแจกไอเทมสุดพรีเมียม ฮิตสุด! หยิบฟรีไม่มีอั้น บุฟเฟ่ต์เต็มถุงราคา 699 บาท ห้ามพลาด! ตั้งแต่วันนี้ ถึง 20 ต.ค.นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ป่าช้าแตก! งานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 29 เดินทางถึงช่วงกลางของการจัดงาน แต่ยังแรงไม่แผ่ว ล่าสุด 855 บูธ รวมตัวกันลดราคา จากที่ลดอยู่แล้ว 20-80% ให้ถูกลงไปอีก 50% โดยเฉพาะหนังสือใหม่ที่ผลิตช่วงต้นปีนี้ พร้อมของแถม ของแจกจุใจ ไอเทมลับสุดพรีเมียม บอร์ดเกมลิขสิทธิ์แท้กว่าหมื่นเกมลดสูงสุด 60% กิจกรรมสุดฮิต!หยิบฟรีไม่อั้น บุฟเฟ่ต์เต็มถุงราคา 699 บาท นักอ่านทุบสถิติหยิบได้ 30 เล่มราคาเฉลี่ยถูกสุดๆ 23 บาทต่อเล่ม ด้านนายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ลั่นไม่มาถือว่าพลาด ห้ามบ่น! “เสียดาย

นายสุวิช รุ่งวัฒนไพบูลย์ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เปิดเผยว่า งาน “มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29” ซึ่งได้รับการสนับสนุนกิจกรรมจาก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม โดยการทำงานของอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมหนังสือ ภายใต้ THACCA ระหว่างวันที่
10-20 ตุลาคม 2567 ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายใต้ธีม “อ่านโลกนี้ ยันโลกหน้า” เดินทางมาถึงช่วงกลางของการจัดงาน ซึ่งบรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความคึกคัก โดยเฉพาะสำนักพิมพ์ต่างๆ กว่า 286 แห่ง รวม 855 บูธ เริ่มแข่งขันจัดโปรโมชั่นพิเศษเพิ่มมากขึ้นจากที่เคยลดราคาหนังสืออยู่แล้วตั้งแต่
20-80% ให้ถูกลงไปอีก โดยเฉพาะหนังสือใหม่ที่เพิ่งผลิตเมื่อปีที่แล้ว หรือต้นปีนี้ นำมาลดราคาลงอีกมากกว่า 50% นอกจากนั้นยังมีโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 หรือ ซื้อ 3 แถม 2  และยังจูงใจด้วยของแถมเป็นคอลเลกชั่นพิเศษสุด
พรีเมียม ซึ่งผลิตขึ้นเฉพาะในงานนี้เท่านั้น ในรูปแบบที่ไม่ซ้ำกัน วันต่อวัน


“ ในช่วงต้นของงานมหกรรมหนังสือ สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ได้ขอความร่วมมือสำนักพิมพ์ทุกแห่งให้ลดราคาหนังสือลงเพื่อดึงดูดนักอ่านให้มาเลือกซื้อหนังสือคุณภาพราคาถูก ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาก แต่ขณะนี้เห็นสัญญาณการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงเกิดขึ้นอีกโดยที่สมาคมฯ ไม่ได้เข้าไปทำอะไรเลย ซึ่งบ่งชี้ว่าทุกสำนักพิมพ์ไม่ต้องการขนหนังสือกลับ จึงเป็นประโยชน์ต่อนักอ่านอย่างมากที่จะได้หนังสือดีมีคุณภาพในราคาถูกมากๆ จากหนังสือกว่า 2 ล้านเล่ม ซึ่งเป็นหนังสือปกใหม่ 3,000 เล่มในงาน ดังนั้นผู้ที่ยังลังเลไม่ได้มาร่วมงานจะต้องรู้สึกเสียดายอย่างมาก” นายสุวิช กล่าว


ทั้งนี้ จากการสำรวจภายในงานมหกรรมหนังสือ พบว่า ทุกสำนักพิมพ์วางจำหน่ายหนังสือทุกประเภทในราคา 100 บาท ขณะที่บางแห่งนำเสนอหนังสือราคาถูกมากเพียง 10 บาท หนังสือเล่มละ 25 บาท จัดโปรโมชั่นพิเศษ 5 เล่ม 100 บาท หนังสือราคา 35 บาท หรือ 3 เล่ม 100 บาท รวมทั้งโปรโมชั่นยิ่งซื้อ ยิ่งลด โดยซื้อครบ 500 บาท ลดเพิ่ม 50 บาท ซื้อครบ 1,200 บาท ลดเพิ่ม 200 บาท และซื้อครบ 2,500 บาทส่วนลดเพิ่ม 500 บาท เซตนิยายลดสูงสุด 70%


นอกจากนั้น โปรโมชั่นที่พบส่วนใหญ่ที่สำนักพิมพ์เกือบทุกแห่งลงมาทำการตลาด เช่น ซื้อหนังสือ 4 เล่ม ลดเพิ่มอีก 20% หนังสือ 7 เล่มลดเพิ่ม 25% และ 12 เล่ม ลดเพิ่ม 28% รวมทั้งการจัดกิจกรรมหยิบไม่อั้น บุฟเฟ่ต์เต็มถุงสุดฮิต ถุงหยิบเล็กราคา 199 บาท และหยิบใหญ่ 699 บาท ในเวลา 20 นาที ซึ่งมีหนังสือในหมวดนิยายทุกเนื้อหากว่า 30,000 เล่ม เช่น นิยายจีนแปลไทย นิยายผลงานนักเขียนไทย นิยายสืบสวนสอบสวนและนิยายบอยเลิฟ สลับสับเปลี่ยนไม่ซ้ำกัน วันต่อวัน นำมาให้ร่วมสนุกและสร้างสีสันภายในงาน ซึ่งจากสถิติการเข้าร่วมกิจกรรมนี้ มีนักอ่านหลายคนสามารถหยิบหนังสือได้สูงสุดถึง 30 เล่ม หรือเท่ากับว่าได้ครอบครองหนังสือในราคาเฉลี่ย 23 บาทต่อเล่ม


นอกจากนั้นหลายสำนักพิมพ์มีการจัดคอมโบเซ็ต หนังสือ 18 เล่มในราคา 2,100 บาท หรือเฉลี่ยเล่ม 117 บาทเท่านั้น

ขณะที่ของแจกของแถม อาทิ ซื้อหนังสือครบ 500 บาท รับฟรีที่คั่นหนังสือ ครบ 1,500 บาท ฟรีถุงผ้าหรือกระเป๋าช้อปปิ้ง และครบ 3,500 บาท รับฟรีกระเป๋าผ้าขนาดใหญ่ หรือเสื้อยืด บางสำนักพิมพ์จัดทำตุ๊กตามาเป็นไอเทมลับดึงดูดนักอ่าน ขณะที่สำนักพิมพ์หลายแห่งใช้การตลาดด้วยการเล่นกับใบเสร็จจากการซื้อหนังสือภายในงานสามารถนำมาของพรีเมียม  พร้อมกับบริการจัดส่งถึงบ้านด้วยบริการของไปรษณีย์ ในราคาเหมา  50 บาทโดยไม่ต้องชั่งน้ำหนัก

ในส่วนของคอเกม พลาดไม่ได้กับโปรโมชั่นบอร์ดเกมลิขสิทธิ์แท้แปลไทย ซึ่งมีมาให้เลือกตามความสนใจกว่า 10,000 เกม ในราคาสุดพิเศษ เช่น ซื้อบอร์ดเกม 1 กล่อง ลดเพิ่ม 15% ซื้อ 2 กล่องลดเพิ่ม 20% นอกจากนั้นยังมีการจัดเซตพิเศษในราคาลดตั้งแต่ 35-60% พร้อมทั้งจัดช่วงนาทีทอง ลดเพิ่มพิเศษอีก

นอกจากนั้นมีการจัดกิจกรรมพิเศษสำหรับผู้ที่ชอบความเสี่ยง เช่น กล่องสุ่ม ในราคาเพียง 350 บาท ลุ้นรับบอร์ดเกมส์มูลค่าสูงสุด 1,350 บาท ในขณะที่กล่องสุ่มราคา 999 บาท ลุ้นรับสูงสุด 4,090 บาท

ทั้งนี้ นักอ่านและผู้ที่สนใจ สามารถร่วมงาน “มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29” เริ่มตั้งแต่เวลา 10.00 - 21.00 น.ระหว่างวันนี้ถึง 20 ตุลาคม 2567  ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ Thai Book Fair

………………

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ประเพณีออกหว่า เทศกาลออกพรรษา อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน

11 ตุลาคม 2567 … นายบุญลือ ธรรมธรานุรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ว่าที่ร้อยตรีภาณุวัฒน์ ขัดนาค ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. สำนักงานแม่ฮ่องสอน ว่าที่ร้อยตรีพูนศักดิ์ ดีมั่น
นายกเทศมนตรีตำบลแม่สะเรียง และนายวรศักดิ์ พานทอง นายอำเภอแม่สะเรียง เข้าร่วมออกอากาศสด ในรายการ เช้านี้ที่ภาคเหนือ ช่อง NBT เวลา 08.00-09.00 น. เพื่อประชาสัมพันธ์งานประเพณีออกหว่า เทศกาลออกพรรษา อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยจังหวัดเชียงใหม่ 
ประเพณีออกหว่าเป็นงานประเพณีออกพรรษาของชาวไทใหญ่ที่สืบทอดมากว่า 600 ปี เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จกลับโลกมนุษย์หลังจากเสด็จโปรดพระมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในวันขึ้น 15 คํ่า เดือน 11 คำว่า “ออกหว่า” หมายถึง การออกจากฤดูฝน แต่ละบ้านจะจัดทำซุ้มราชวัตร หรือปราสาทรับเสด็จพระพุทธเจ้า ชาวไทใหญ่เรียกว่า “กยองเข่งปุด” โดยจะทำซุ้มประตูบ้านให้เป็นรูปปราสาท ประดับประดาด้วยโคมไฟหูกระต่าย ตกแต่งด้วยดอกไม้ ต้นกล้วย ต้นอ้อย ช่อตุง ประทีปโคมไฟ เปรียบเหมือนการต้อนรับพระพุทธเจ้าที่พระองค์เสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โดยแต่ละบ้านจะจัดทำซุ้มราชวัตรขนาดพอเหมาะหน้าบ้านก่อนงานออกหว่าอย่างน้อย 3-5 วัน และจะมีซุ้มราชวัตรศูนย์กลางที่ชุมชนร่วมกันจัดทำขึ้น ซึ่งจะจัดล่วงหน้าอย่างน้อยสองวัน คือก่อนวันขึ้น 14 คํ่า เดือน 11 ของทุกปี
โดยมีกิจกรรม แบ่งออกเป็น 3 มิติ ดังนี้
#มิติที่ 1 : การตักบาตรตอนตี 4 
พระสงฆ์ ประมาณ 200 รูป ในเช้าวันที่ 16 ตุลาคม 2567 ตักบาตรอาหารสุก และเช้าวันที่ 17-18 ตุลาคม 2567 ตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง การตักบาตรจะเริ่มตอนประมาณ 4.00 น. ไม่เหมือนกับตักบาตรเทโวทั่วไป พระสงฆ์จะรับบิณฑบาตรตามถนนสายต่างๆ ในเขตเทศบาลตำบลแม่สะเรียง พี่น้องชาวอำเภอแม่สะเรียง จะประดับราชวัตร ประทีป โคมไฟ ตามถนน โดยมีความเชื่อว่าเป็นการตักบาตรกับพระอุปคุตในคราวเดียวกัน

#มิติที่ 2 : กิจกรรมรื่นเริง ณ ลานวัฒนธรรม จัดขึ้น 2 แห่ง 
✨ กิจกรรมลานวัฒนธรรม ณ ลานวัฒนธรรมวัดอุทยารมณ์ (วัดจองสูง)
พบกับนิทรรศการมีชีวิตต่างๆ ทางด้านวัฒธรรมของชาวอำเภอแม่สะเรียง อาหารท้องถิ่น การแต่งกาย การแสดง โดยลานวัฒนธรรม มีกิจกรรม 2 วัน ในวันที่ 16-17 ตุลาคม 2567 โดยมีกิจกรรมสำคัญดังนี้ 
16 ตุลาคม 2567 : 18.00 น. พิธีเปิดงานประเพณีสืบฮีต สานฮอย ย้อนรอยออกหว่าและวิถีชนเผ่า 
17 ตุลาคม 2567 : 18.00 น. กาดหมั้ว ครัวฮอม 

✨ กิจกรรมงานรื่นเริง ณ เวทีกลาง หน้าสถานีตำรวจภูธรแม่สะเรียง 
พบกับการแสดงรื่นเริง ตลอด 3 คืน ในวันที่ 16-18 ตุลาคม 2567 โดยมีกิจกรรมสำคัญดังนี้ 
16 ตุลาคม 2567 : 19.00 น. การแสดงจากโรงเรียนต่าง ๆ และการประกวดรำนก รำโต
17 ตุลาคม 2567 : 18.00 น. พิธีเปิดงานประเพณีออกหว่า เทศกาลออกพรรษาอำเภอแม่สะเรียง
การแสดงพิธีเปิด สุดตระการตา สมการรอคอย โดย อ.อัครัช สิปปนันท์ และพบกับ “ครูเต้ย” ศิลปินที่มีชื่อเสียง 
18 ตุลาคม 2567 : 20.00 น. การประกวดธิดาออกหว่า 

#มิติที่ 3 : ขบวนแห่เทียนเหง 
ในค่ำคืนวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. สัมผัสขบวนแห่เทียนเหง (เทียนพันเล่ม) กว่า 20 ขบวน มีการสอดแทรกเรื่องราวของงานประเพณีออกหว่า เทศกาลออกพรรษา ให้สามารถสัมผัสได้อย่างใกล้ชิด 

นอกจากนี้ ในวันที่ 19 ตุลาคม 2567 ได้จัดให้มีงานวิ่ง “กว่า แหล่ โกม ครั้งที่ 3” ณ ลานหน้าที่ว่าทำการอำเภอแม่สะเรียง โดยกิจกรรมเริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป มีระยะทาง 5 กิโลเมตร และระยะทาง 10 กิโลเมตร ตามลำดับ 
#DoisterStyle #TATMaehongson #AmazingThailand 
#เทศบาลตำบลแม่สะเรียง #ออกหว่าแม่สะเรียง
#ออกหว่า #ออกหว่า2567 #กว่าแหล่โกมครั้งที่3
ขอขอบคุณ
สถานีโทรทัศน์ NBT เชียงใหม่ 
นายบุญลือ ธรรมธรานุรักษ์ รอง ผวจ.แม่ฮ่องสอน
ท่านนายอำเภอแม่สะเรียง 
เทศบ่ลตำบลแม่สะเรียง
นายก้ทศมนตรีตำบลแม่สะเรียง 
ทุก ๆ ท่าน

สุดคึกคัก! มหกรรมหนังสือฯ ครั้งที่ 29 กระแสแรงเกินคาด นักเขียนดังนานาชาติ ตบเท้าร่วมงานคับคั่ง ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

มหกรรมหนังสือฯ ครั้งที่ 29 วันที่สอง บรรยายกาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีนักอ่านทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้าร่วมงานอย่างเนืองแน่น นอกจากนั้นยังได้รับการตอบรับจากนักเขียนดังต่างชาติแห่ร่วมงานพบปะนักอ่านไทย องค์กรเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ส่ง 3 นักเขียนดังชาวไต้หวันแชร์ประสบการณ์เชิงลึก-เปิดเวทีเวิร์กชอปกับนักเขียนไทย พร้อมเปิดตัวหนังสือใหม่ถอดด้าม 2 เรื่องเอาใจคอสยองขวัญไทย
มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 ซึ่งได้รับการสนับสนุนกิจกรรมจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม โดยการทำงานของอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมหนังสือ ภายใต้ THACCA ร่วมจัดงานจัดภายใต้ธีม “อ่านกันยันโลกหน้า” ได้รับกระแสตอบรับจากกลุ่มนักอ่านทั้งไทยและต่างประเทศเข้ามาเลือกซื้อหนังสือซึ่งมีมากกว่า 2 ล้านเล่ม จาก 286 สำนักพิมพ์ รวม 855 บูธ นอกจากนั้นยังมีนิทรรศการและกิจกรรม 100 กิจกรรมให้ร่วมสนุก พร้อมกระทบไหล่นักเขียนดังในดวงใจ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 20 ตุลาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
น.ส.ดวงพร สุทธิสมบูรณ์ อุปนายกฝ่ายต่างประเทศ สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เปิดเผยว่า มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 ได้รับเกียรติจากองค์กรเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย นำนักเขียนชื่อดังจากไต้หวันเข้าร่วมงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29 ในกิจกรรม “Read Taiwan in Thai ประจำปี 2567” จำนวน 3 คน คือ เซียวเซียงเสิน และเซวียซีซื่อ เจ้าของผลงานหนังสือที่ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์แปลเป็นไทยเรื่อง “ปริศนาตะเกียบอาถรรพ์” และเฉินซื่อหง เจ้าของผลงาน “โกสต์ทาวน์” มาแบ่งปันประสบการณ์การทำงานและเปิดตัวหนังสือดังกล่าว และร่วมกิจกรรมเวิร์กชอปเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างนักเขียนไต้หวันและไทย
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวนอกเหนือจากการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างไต้หวันและไทยแล้ว ยังเป็นโอกาสที่ดีต่อผู้อ่านชาวไทยได้สัมผัสกับเรื่องราวหนังสือจากไต้หวันที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณและความลึกลับ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมร่วมกันของทั้งสองประเทศ เรื่องราวเกี่ยวกับความรัก ความผูกพัน ความตาย และความหวาดกลัว เหล่านี้เป็นประสบการณ์สากลของมนุษย์ ซึ่งเชื่อว่าผู้อ่านชาวไทยจะต้องประทับใจและเข้าถึงได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งนี้ในช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา PUBAT ได้นำนักเขียนและนักวาดภาพประกอบหนังสือชาวไทยไปพบปะผู้อ่านชาวไต้หวันในลักษณะเดียวกันนี้ในงานไต้หวันบุ๊คแฟร์ ซึ่งก็ได้ผลตอบรับที่ดีอย่างมาก และในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568 มีแผนที่จะดำเนินการในลักษณะเช่นนี้อีกโดยจะนำนักเขียนและนักวาดภาพประกอบจำนวน 3 คนเข้าร่วมงาน
น.ส.ดวงพร กล่าวว่า ผลงานนักเขียนและนักวาดภาพประกอบหนังสือไทยได้รับความนิยมมากจากนักอ่านไต้หวันอย่างมาก ส่งผลให้ในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้มูลค่าการซื้อขายหนังสือไทย-ไต้หวันและไต้หวัน-ไทยสูงถึง 360 ล้านบาทและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 400 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ ใกล้เคียงกับปี 2566 ที่มีมูลค่า 400 ล้านบาท โดยไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้า ทั้งนี้ นักอ่านไต้หวันให้ความนิยมมากในงานหนังสือของนักเขียนไทยประเภทนิยายวาย ทั้งบอยเลิฟและเกิร์ลเลิฟ หนังสือภาพสำหรับเด็ก กลับกันนักอ่านไทยนิยมหนังสือเนื้อหาประเภทภูตผีจากไต้หวัน

 “งานเขียนจากไต้หวันในตลาดไทยเริ่มอิ่มตัวเพราะมีการซื้อลิขสิทธิ์มาแปลมากว่า 10 ปีแล้ว แต่ตอนนี้ไทยเข้าไปทำตลาดในไต้หวันมากขึ้นทำ โดย PUBAT ได้นำนักเขียนและนักวาดภาพประกอบไปร่วมงาน ไต้หวันบุ๊คแฟร์ปีที่ผ่านมาก็ได้รับความสนใจอย่างมากจนแถวยาวออกนอกงาน” น.ส.ดวงพร กล่าว

นอกจากนี้ภายในงาน สำนักพิมพ์ต่างๆ ยังเตรียมจัดโปรโมชั่นสุดพิเศษมากมาย อาทิ หนังสือปกใหม่ราคาพิเศษ, ลดราคาตั้งแต่ 20-80%, โปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1, ซื้อ 2 แถม 1, พร้อมลด แลก แจก แถม คอลเลคชั่นพิเศษสำหรับนักสะสม พร้อมกับบริการจัดส่งไปรษณีย์ ในราคาพิเศษ ภายในงานอีกด้วย  
สำหรับงาน “มหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 29” เริ่มตั้งแต่เวลา 10.00 - 21.00 น. 10-20 ตุลาคม 2567 
ณ ฮอลล์ 5-7 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 

สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ Thai Book Fair


วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ไอร์แลนด์-ไทย เสริมแกร่งความสัมพันธ์ ร่วมมือยกระดับพันธมิตรการค้า เปิดประตูตลาดอาหารและการเกษตร



กรุงเทพ ฯ 8 ตุลาคม 2567, การเดินทางเยือนประเทศไทยเพื่อภารกิจการค้า นำโดย นางพิปปา แฮ็คเก็ตต์ รัฐมนตรีการกระทรวงเกษตรอาหาร และทะเลแห่งไอร์แลนด์ ได้เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างภาคอุตสาหกรรมอาหาร และเกษตรของไอร์แลนด์กับอุตสาหกรรมอาหารของไทย ภารกิจการค้าครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-8 ตุลาคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในอนาคตสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจให้แข็งแกร่งขึ้น และขยายโอกาสในการส่งออกสำหรับอาหารและเกษตรของไอร์แลนด์ในตลาดไทยการเดินทางเพื่อภารกิจการค้าครั้งนี้ประกอบด้วยกิจกรรมสำคัญทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกจากไอร์แลนด์และผู้นำอุตสาหกรรมไทยได้มีเวทีพิเศษเพื่อหารือถึงโอกาสใหม่ ๆ และเสริมสร้างความสัมพันธ์ในภาคการนำเข้า-ส่งออกอาหาร ผลิตภัณฑ์นม และเนื้อวัว

ไอร์แลนด์ส่งออกผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหารไปยังมากกว่า 180 ประเทศทั่วโลก คิดเป็นมูลค่า16,300 ล้านยูโร หรือ 5.8 ล้านล้านบาท ในปี 2023 โดย 1,200 ล้านยูโรถูกส่งออกไปยังประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย และ 57,600 ล้านยูโรส่งออกมายังประเทศไทย โดย กลยุทธ์ Food Vision 2030 ที่ขับเคลื่อนการเติบโตของภาคเกษตรและอาหารซึ่งกำหนดแผนที่ชัดเจนและมีความมุ่งมั่น สำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนของภาคอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของไอร์แลนด์ โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มมูลค่านี้ให้ถึง 2 หมื่นล้านยูโร หรือ 7 แสนล้านบาทภายในปี 2030


จากการศึกษาการลำดับความสำคัญของตลาด (Prioritizing market) ของ Bord Bia ระบุว่าประเทศไทย เวียดนาม และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญสำหรับการส่งออกอาหารและเครื่องดื่มของไอร์แลนด์ เนื่องจากมีโอกาสทางการตลาดที่สูง สำหรับการส่งออกผลิตภัณฑ์นม โดยตั้งแต่ปี 2019 การส่งออกผลิตภัณฑ์นมไปยังประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 24 ล้านยูโรเป็น 54.9 ล้านยูโรในปี 2023 โดยสัดส่วนการเติบโตสูงสุดมาจากนมผงไขมันเต็ม นมผงพร่องมันเนย และอาหารสำหรับทารก ขณะที่ผลิตภัณฑ์เนยก็เติบโตมากขึ้นจากเริ่มต้นที่ 1 ล้านยูโรในปี 2022 และเพิ่มขึ้นเป็น 3.2 ล้านยูโรในปี 2023
กลุ่มประเทศที่ถือเป็นตลาดส่งออกสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย เวียดนาม มาเลเซียฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ อีกทั้งเอเชียยังคงเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง และมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สำหรับการส่งออกอาหารทะเลและเครื่องดื่มของไอร์แลนด์ โดยการส่งออกอาหารทะเลไปยังประเทศไทยมีมูลค่าถึง 306,000 ยูโร หรือ 11 ล้านบาท ในปี 2023 ฐานผู้บริโภคที่ขยายตัวของประเทศไทยและความนิยมที่เพิ่มขึ้นต่อผลิตภัณฑ์อาหารพรีเมียมและเพื่อสุขภาพ ทำให้ตลาดมีความสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับอาหารและเครื่องดื่มจากไอร์แลนด์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงและการขยายตัวของเมือง ส่งผลให้ผู้บริโภคมองหาทางเลือกที่สะดวกและมีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น

แม้ว่าไอร์แลนด์จะให้ความสำคัญกับการส่งออกอาหารและเครื่องดื่มระดับพรีเมียม และสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคาร โดยเฉพาะการให้บริการด้านอาหารของโรงแรมหรูในประเทศไทย Bord Bia (คณะกรรมการอาหารแห่งสาธารณรัฐไอร์แลนด์) ก็ยังตระหนักถึงความสำคัญของการเพิ่มการเข้าถึงสินค้าสำหรับผู้บริโภคชาวไทย ในการนี้ Bord Bia ได้หารือกับผู้ผลิตและผู้ส่งออกเกี่ยวกับการกำหนดช่วงราคาที่เหมาะสม รวมถึงวิธีการลดต้นทุนการผลิต ในขณะเดียวกันยังคงรักษาคุณภาพตามมาตรฐานระดับสูง เพื่อนำไปสู่การค้าที่ยั่งยืนในอนาคต

“พวกเรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้มาเยือนประเทศไทยเพื่อสำรวจโอกาสทางการค้าสำหรับอาหารและเครื่องดื่มจากไอร์แลนด์ การเยือนประเทศไทยครั้งนี้เน้นย้ำถึงความตั้งใจของเราในยุทธศาสตร์ Food Vision 2023 เป็นแนวทางสำคัญที่เรายึดถือในการผลิตอาหารและสินค้าการเกษตรอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “From Farm to Fork” มุ่งเน้นการทำเกษตรและอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยคำนึงถึงความยั่งยืนตลอดกระบวนการผลิต ซึ่งช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ในการเลือกซื้อสินค้าที่คำนึงถึงความยั่งยืนอย่างแท้จริง และในฐานะสมาชิกสหภาพยุโรป เรากำลังเปิดตัวแคมเปญผลิตภัณฑ์นมเป็นระยะเวลา 3 ปีในประเทศไทย จากที่สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของไอร์แลนด์เป็นข้อได้เปรียบที่แตกต่างสำหรับการผลิตสินค้าพรีเมียม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมการค้าและผู้บริโภค และภารกิจการค้าครั้งนี้ก็ถือเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่างเรากับประเทศไทย” รัฐมนตรี พิปปา แฮ็คเก็ตต์ แห่งไอร์แลนด์ กล่าว

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา มีการเปิดตัวสัมมนาผลิตภัณฑ์นมแห่งสหภาพยุโรป (Bord Bia EU Dairy Seminar) ซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมคุณภาพและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์นมจากสหภาพยุโรป โดยเฉพาะจากไอร์แลนด์ การสัมมนาครั้งนี้มีเข้าร่วมถึง 70 รายจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์นม ผู้จัดจำหน่าย และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนี้ โดยมุ่งเน้นเรื่องนวัตกรรมและการทำฟาร์มโคนมอย่างยั่งยืน กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะเพิ่มการรับรู้และตระหนักถึงผลิตภัณฑ์นมจากไอร์แลนด์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และกระตุ้นปริมาณการส่งออกมายังภูมิภาคนี้ให้มากขึ้น
ปิดท้ายวันด้วยงานเลี้ยงต้อนรับการค้าระหว่างไอร์แลนด์และไทย ซึ่งมี 85 ผู้ส่งออกจากไอร์แลนด์ ผู้จัดจำหน่ายและผู้นำเข้าในไทย รวมถึงผู้ค้าปลีกและผู้ให้บริการด้านอาหารเข้าร่วมด้วย เพื่อเฉลิมฉลองความร่วมมืออันดีและสำรวจโอกาสทางธุรกิจสำหรับตลาดไทยและไอร์แลนด์ อีกทั้งยังมีการสัมภาษณ์พิเศษสำหรับสื่อมวลชนไทย ซึ่งเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับภาคอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของไอร์แลนด์ และเป้าหมายของการเดินทางภารกิจการค้าครั้งนี้

นายจิม โอทูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคณะกรรมการอาหารแห่งสาธารณะไอร์แลนด์ (Bord Bia) ได้กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญสำหรับไอร์แลนด์ และเป็นโอกาสที่ดีอย่างมากสำหรับการส่งออกผลิตภัณฑ์นม และอาจรวมถึงเนื้อวัวของเราในอนาคต สภาพภูมิประเทศอันอุดมสมบูรณ์ของเราส่งเสริมการผลิตผลิตภัณฑ์นมและเนื้อวัวที่เน้นเลี้ยงด้วยหญ้า เอื้อให้เกิดผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง เราเข้าใจถึงความใส่ใจของผู้บริโภคไทยในเรื่องที่มาของอาหาร และเชื่อว่าการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับอุตสาหกรรมของเราจะช่วยแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของอาหารและเครื่องดื่มจากไอร์แลนด์มากขึ้น แม้ว่าประเทศเราจะมีประชากรไม่มาก แต่เราก็เป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่ และให้ความสำคัญกับคุณภาพและความยั่งยืนผ่านโครงการ Origin Green ของเรา เรามั่นใจถึงศักยภาพในความร่วมมือของเรากับประเทศไทยอย่างยิ่ง”

ท่ามกลางกระแสของภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบต่อทุกภูมิภาคทั่วโลก รวมถึงภาคเกษตรกรรมของไอร์แลนด์ รัฐมนตรี พิปปา แฮ็คเก็ตต์ แห่งไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเกษตรกรเองเช่นกัน ได้แบ่งปันแนวทางในการรับมือกับปัญหานี้ว่า รัฐบาลไอร์แลนด์ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกหญ้าหลากหลายชนิดในพื้นที่การเกษตร โดยความยาวของรากที่แตกต่างกันช่วยให้สามารถกักเก็บความชื้นในดินและซึมซับได้ในทุกสภาพอากาศ นอกจากนี้ พวกเขายังส่งเสริมการปลูกต้นไม้ใกล้ทางน้ำเพื่อช่วยเสริมโครงสร้างดินที่แข็งแรงและลดโอกาสที่น้ำเสียจะไหลลงสู่แหล่งน้ำสะอาด


นอกจากนี้ นายจิม โอทูล ยังกล่าวเสริมว่า Bord Bia ได้ร่วมมือกับเกษตรกรชาวไอริชกว่า 100,000 ราย และองค์กรต่าง ๆ เพื่อทำการวัดค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากพื้นที่การเกษตร พร้อมทั้งค้นหาวิธีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยไม่กระทบต่อคุณภาพของผลผลิตทางการเกษตร อีกทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มนิยมบริโภคอาหารจากพืชมากขึ้น Bord Bia ตระหนักถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์ทางเลือกหลากหลายในภาคผลิตภัณฑ์นม โดยเข้าใจว่าผู้บริโภคมองหาผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนบุคคล Bord Bia จึงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์หลากหลาย เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเลือกซื้อได้ตามความต้องการเฉพาะตัวมากขึ้น และในขณะที่รสนิยมและความชื่นชอบของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลง Bord Bia ยังคงมุ่งเน้นในการส่งมอบผลิตภัณฑ์นมรสชาติดี คุณภาพสูงที่สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงเหล่านี้
ภารกิจการค้านี้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของไอร์แลนด์ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศไทยผ่านการแลกเปลี่ยนนวัตกรรมด้านอาหารและเกษตรกรรม ในขณะที่ประเทศไทยยังคงมองหาผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพสูงและยั่งยืน ผู้ส่งออกจากไอร์แลนด์จึงอยู่ในฐานะของผู้จะตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในภาคเนื้อวัว ผลิตภัณฑ์นม และภาคอาหารและเกษตรอื่นๆ ที่ดีสำหรับประเทศไทย


เกี่ยวกับ BORD BIA

Bord Bia เป็นหน่วยงานของรัฐบาลไอร์แลนด์ที่ดูแลการส่งเสริม พัฒนาการค้า และการตลาดของอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และเกษตรกรรม โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงดับลิน Bord Bia มุ่งสนับสนุนธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ผ่านโครงสร้างองค์กรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเครือข่ายสำนักงานทั้งในภูมิภาคเอเชีย, ยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา (EMEA) และสหรัฐอเมริกา สำหรับสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในสิงคโปร์มี Lisa Phelan เป็นผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ปี 2023 เพื่อสนับสนุนผู้ส่งออกชาวไอริชที่มุ่งเน้นตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.bordbia.ie/